วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า”รัก”(ไอ้ดื้อ) ตอน5 บริบูรณ์

สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า”รัก”(ไอ้ดื้อ) ตอน5



ไอ้ดื้อ กินทุกอย่างที่มันมองเห็นว่า พ่อ-แม่ ของมันกินได้อาหารที่มันโปรดปรานมากที่สุดคือเฟรนฟรายทอดนิ่มๆ มันจะมากจิกกินจากมือ และ ปาก จากพ่อ-แม่ ของมันตามสันชาตญาณ มันยิ่งสร้างความน่ารักน่าทะนุทนอมให้กับผมมากขึ้นและแล้วความผูกพันธ์ก็ก่อตัวขึ้น และมากขึ้นๆ ทุกวัน จนถึงไอ้ดื้อมีอายุ 4 เดือน มันบินเก่งขึ้น เร็วขึ้น แต่มันยังบินได้เพียงระยะใกล้ๆ 3-4 เมตรต่อเนื่อง เพราะว่าห้องของผมไม่กว้างนักมันจึงฝึกได้เพียงเท่านั้น ทุกๆวันเป็นวันที่แสนสุขเหมือนว่าผมมีลูกชายเสียเลยด้วยซ้ำไปในความรู้สึกของผม จนมีวันนึงแฟนผมพูดขึ้นมาว่า “เราจะต้องหาซื้อมู่ลี่มาบังตรงนอกชานเพิ่มแล้วหล่ะ” ผมถามด้วยความงง ”ทำไมต้องติดเพิ่มหล่ะ” เธอจึงเล่าให้ผมฟังว่า “วันนี้ไอ้ดื้อมันมาเกาะนอกกรงทางนอกชานและทำท่าจะโพรบิน แต่ฉันเรียกพร้อมทั้งเอามือไปป้องไว้ไม่มันกระโจนออก เพราะว่ามันเห็นเพื่อนๆมันบินมาใกล้ๆ เหมือนชวนให้ออกมาบินเล่นกันเถอะ!” เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้วผมเกิดความกลัวขึ้มชนมาแบบบอกไม่ถูก วันรุ่งขึ้นผมไปทำงานตามปกติ และแล้วเวลาประมาณบ่ายสองกว่าๆ แฟนของผมโทรมา เธอบอกผมว่าไอ้ดื้อมันบินออกไปทางนอกชานแล้วเนื่องมาจากเป็นวันสาดจีนมีคนจุดประทัดไอ้ดื้อมันตกใจ เลยหนีอันตรายตามสัญชาตญาณ แฟนของผมเธอจึงเรียกมันด้านนอกตึกและได้ยินเสียงนกร้องที่ข้างๆห้อง ผมโล่งอกว่ามันอาจจะจำห้องไม่ได้ มันเลยบินเข้าห้องผิด ผมรอเจ้าของห้องเลิกงาน การรอคอยมันช่างทรมานผสมความตื่นเต้นและความเป็นห่วงเจ้าลูกชายของผมเหลือเกิน และสุดท้ายการสิ้นสุดการรอคอยของผมก็สิ้นสุดเสียที เมื่อมีคนมาไขกุญแจห้องที่ผมรอคอยเจ้าของห้องอยู่หยุดหน้าประตู แฟนและผมรีบไปบอกกล่าวเจ้าของห้องนั้นทันที และชายเจ้าของห้องตอบว่า “ผมก็เลี้ยงนกหัวจุกด้วยเช่นกันเสียงนั้นเป็นนกของผมมั่ง ผมจะดูให้รอแป๊บน่ะครับ ไม่มีเลยครับ ถ้าผมเจอจะส่งคืนให้น่ะครับ” คำพูดประโยคนั้นทำให้ผมเข่าอ่อนและใจหายไปทันที ผมติดประกาศหาไอ้ดื้อพร้อมทั้งมีรางวัล 500บาทให้หากใครเจอและนำมาส่งคืน แต่ข่าวไอ้ดื้อก็เงียบไม่มีผู้พบเห็นมัน จากนั้นห้องของผมเงียบเหงาไม่มีการพูดจาใดๆกันเพราะว่าเราทั้งสองต่างรู้สึกเสียใจและเศร้าใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น เวลาจะกินของว่าง อย่างเฟรนฟรายเราก็คิดถึงมันเพราะเป็นของโปรดไอ้ดื้อมัน ผมแทบอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพียงความฝัน เพราะว่าก่อนหน้านั้นมันเคยบินออกไปทางประตูห้องแต่มันก็หาทางกลับเข้ามาไม่นานและมันกลัวมากมันไม่กล้าเชียดใกล้ประตูอีกเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีมันนี้ได้
ตอนนั้นผมไม่มีที่พึ้งทางไหนแล้วได้แต่บนบาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างที่ผมนับถือให้ช่วยนำทางไอ้ดื้อกลับบ้านด้วยเถิด แต่ไม่เป็นผล ผมคิดว่าเราคงหมดบุญวาสนาต่อกันแล้ว และอดคิดไม่ได้ว่า” หรือมันคือ เวรกรรม” ที่ผมได้ทำกรรมกับไอ้ดื้อและแม่ของมันที่ไปพรากมันมาจากอกแม่นก ด้วยความรู้สึกที่ผมมีขณะนั้นไม่ต่างจากความรู้สึกของแม่นกเมื่อกลับมาจากการหาอาหารมาให้ลูกๆ แต่กับไม่เจอลูก แม่มันก็มีความทรมานไม่ต่างจากผมเลย ผมจึงต้องก้มหน้ารับกรรมอยู่กับความเหงาเศร้าและเสียใจอยู่ตลอดไป
สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกทุกๆท่านที่ได้รับทราบบทความนี้ว่า ชีวิตเล็กๆที่มีความยิ่งใหญ่ในตัวของมันเองนั้นก็ต้องการความเป็นธรรมชาติโดยไม่มีการแทรกแทรงโดยการพลัดพรากมันมาจากธรรมชาติและวัฎจักรของมันให้ผิดจากควรจะเป็น และที่สำคัญอย่าคิดว่าเวรกรรมไม่มีจริง เพราะว่าคุณจะได้เจอกับมันแน่ แต่คุณจะมองมันในแง่ไหน?

ภาพสุดท้ายที่เราเห็นไอ้ดื้อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น