

ผมได้มันมาโดยความบังเอิญ ตอนแรกได้มา 2 ตัว แต่อีกตัวมีขนาดที่เล็กกว่ามันมากนัก ตอนที่ได้มานั้นลูกนกทั้งสองตัวนี้มันยังไม่ลืมตาเลยครับ
ชาวบ้านที่ศรัทธาต่อหลวงพ่อจันทร์
เหรียญหลวงพ่อแช่ม ปี 97 เนื้อเงินลงยา
ประวัติพระคณาจารย์ พระเครื่อง หลวงพ่อหีตอริยสงฆ์แห่ง เมืองนคร หลวงพ่อหีต พระเถระอาจารย์ผู้ทรงกิตติคุณลือชารูปนี้มีรูปร่าง “ผอมสูง” ผิวดำแดงกร้านแกร่งแฝงไว้ด้วยความทรหดอดทน มือเท้าใหญ่โตที่แสดงถึงการออกธุดงค์รอนแรมตามป่าเขาลำเนาไพรมาหนักโดย สังเกตได้ที่ “ตาตุ่ม” ข้อเท้าทั้งสองของท่านด้านหนาอันเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้ทราบว่าท่าน “นั่งสมาธิ” มานานมากแล้วสายตาของท่านแข็งกล้ามีขอบสีฟ้ารอบตาดำเป็นประกายแวววาว ตบะเดชะเข้มข้นใครสบตากับท่านเมื่อคราวออกจากญาณสมาบัติเป็นต้องผงะซึ่งแสดง ถึง “ภาวนาสมาธิ” จากอำนาจบารมีญาณของท่านสูงส่งมีอำนาจในตัวเอง การเจรจาแฝงไว้ด้วยเมตตาเป็นที่ตั้ง ศีลาจารวัตรสังเกตดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะไม่มีสมบัติมากมายมีเพียง “เสื่อเก่า ๆ และหมอนไม้แข็ง” เป็นที่พำนักหลับนอนเท่านั้นซึ่งท่านบอกว่า “ความสบายกายทำให้เกิดทุกข์ เกิดกิเลส เกิดตัณหา มีอุปาทาน ไม่สามารถหลุดพ้นจากสภาวจิต เข้าสู่สภาวธรรมได้”
ประวัติพ่อท่านหีต วัดคีรีรัตนาราม (เผียน)“พ่อท่านหีต วัดคีรีรัตนาราม (วัดเผียน)” พระอธิการหีต ปภงฺกโร ท่านนั้นเกิดในตระกูลชาวนาที่ ต.ถ้ำทอง อ.ทับปุด จ.พังงา ในตระกูลสกุล “บุญมา” เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2459 บิดาชื่อ “นายนอง” มารดาชื่อ “นางเหลื่อม” ท่านเป็นบุตรชายคนเดียว จึงเป็นกำลังหลักของตระกูลชาวนาที่ต้องช่วยพ่อ-แม่ทำนาจนอายุได้ ๑๙ ปี จึงไปอยู่ที่ “วัดโคกลอย” โดยบิดาพาไปฝากเป็นศิษย์ของ “พ่อท่านรักษ์ วัดโคกลอย” แล้วให้บวชเป็นสามเณรโดย “พระครูภาณีศรีระวัฒน์” แล้วจำพรรษาศึกษาธรรมและอักขระเลขยันต์ทางไสยศาสตร์ ตลอดจนวิปัสสนาธุระกับ “พ่อท่านรักษ์” ได้ 2 พรรษา จึงมีอายุ 21 ครบอุปสมบทตามประเพณี จึงทำการอุปสมบทเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2479 ณ อุโบสถวัดชนาธิการาม (สำนักปรุ) ต.นพปริง อ.เมือง จ.พังงา โดยมี “พระปฏิภาณพังงารัฏธ์” เจ้าคณะจังหวัดพังงา “วัดประภาสประจิมเขต” เป็นพระอุปัชฌาย์ “พระวินัยธรรักษ์” (รักษ์ สิริวัฒโน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า “ปภังกโร” หลังจากอุปสมบทแล้วได้กลับไปจำพรรษาที่วัดโคกลอยอีก 1 พรรษา จึงออกธุดงค์ไปจนถึงภูเก็ต ในปี พ.ศ. 2480 และเข้าจำพรรษาที่ “วัดโฆษิตวิหาร” เพื่อศึกษาธรรมะกับ “พระครูสีขะรัตนสมณคุณ วัดมงคลนิมิตร” ครั้นถึงปี พ.ศ. 2483 จึงย้ายไปจำพรรษาที่ “วัดพิชิตสังฆาราม” ต.สินไนย อ.เมือง จ.ภูเก็ต จนสามารถสอบนักธรรมเอกได้ในปี พ.ศ. 2486 เมื่อศึกษาธรรมะจนมีความรู้แจ้งแตกฉานดีแล้ว จึงออกธุดงค์เรื่อยไปเพื่อฝึกฝนการปฏิบัติตามขุนเขาลำเนาไพรระหว่างทางพบ “ถ้ำเขาแดง” สงบวังเวงเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมจึงเข้าพักปฏิบัติภาวนาอยู่นาน 12 ปี กระทั่งถึงปี พ.ศ. 2500 ชาวบ้านมาพบท่านเข้าเห็นมีศีลาจารวัตรน่าศรัทธาเลื่อมใส ปฏิบัติธรรมอยู่ในถ้ำอย่างวิเวก จึงร่วมกันนิมนต์ให้ท่านลงจากถ้ำมาอยู่ วัดเผียน ตรงบริเวณเชิงเขาแห่งนั้นแล้วช่วยกันจัดแจงปรับปรุง “วัดร้าง” ให้มีสภาพคืนมาสู่วัดไม่ร้างอีกครั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา
หลังจาก “พ่อท่านหีต” ปักหลักตามคำนิมนต์ของชาวบ้านอยู่ที่ “วัดเผียน” ได้ไม่นานก็เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านทั่วไปกระทั่งวันหนึ่งมีผู้เดือด ร้อนเรื่อง “เงินทอง” ไม่มีทางแก้ไขจึงไปหาท่านเพื่อขอให้ท่านช่วยซึ่งพอท่านทราบ ก็ทำการพิจารณาเห็นว่าไม่มีทางอื่นใดจะช่วยได้เพราะโดยปกติแล้วมีผู้ไปขอ “เลขหวย” อยู่เสมอแต่ท่าน “ไม่เคยให้ใคร” กลับสอนว่าให้ขยันทำมาหากินก็จะเจริญรุ่งเรืองอย่าไปหวัง กับการเล่นการพนัน แต่วันนั้นท่านพิจารณาเห็นความจำเป็นหรือล่วงรู้กาลชะตาโชคของชายผู้นั้นก็ ไม่อาจทราบได้ จึงแนะให้ชายผู้นั้นไปแทงเลขตาม “เถ้าแก่หว่าซาน” (คุณวรศักดิ์ อดิเทพวรพันธ์) อ.ทุ่งสง แล้วจะได้เงินมาแก้ปัญหาซึ่งชายผู้นั้นก็ไม่เคยรู้จักกับเถ้าแก่หว่าซานมา ก่อนหรือแม้กระทั่ง “พ่อท่านหีต” เองก็ไม่รู้จักเถ้าแก่หว่าซานเช่นกันแต่ด้วยปัญหาการเงินที่เดือดร้อน จึงทำให้ชายผู้นั้นไปสืบเสาะหาจนพบแล้วตัดสินใจถาม “งวดนี้แทงเลขอะไร” เถ้าแก่หว่าซานไม่ทันตั้งตัวเพราะจู่ ๆ ก็มีคนไม่รู้จักมาถามจึงบอกเลขไปแบบไม่รู้ตัว ชายผู้นั้นจึงนำเลขนั้นไปซื้อตามที่ได้มาปรากฏว่า งวดนั้นเลขออกมาตรงพอดีจึงรวยกันไปทั้งผู้บอกและผู้ถาม
หลังจากบวชแล้ว หลวงปู่แสงได้ถือธุดงควัตรตามหลวงปู่ทองดำ ตลอดมา รวมทั้งยังเดินธุดงค์ร่วมกับ หลวงปู่เขียว อินทสุวัณโณ วัดหรงบน พร้อมกันนี้ ยังได้เดินธุดงค์มาขอศึกษาวิชาอาคม สมถกรรมฐาน และขอคัดลอกตำราจากพระครูอรรถธรรมรส หรือ หลวงปู่ซัง วัดวัวหลุง ผู้เป็นเจ้าของเหรียญอันดับ 1 แห่งแดนทักษิณ กระทั่งอายุครบตามเกณฑ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดวัวหลุง โดยมี หลวงปู่ซัง เป็นพระอุปัชฌาย์ และ หลวงปู่ทองดำ เป็นพระกรรมวาจารย์
เหรียญหลวงพ่อแสง วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ (วัดในเตา)
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2479 หลวงปู่ซัง และ หลวงปู่ทองดำ ได้ละสังขารเป็นเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้ หลวงพ่อแสง เศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก ด้วยเหตุที่ขาดที่พึ่งและยังปลงไม่ตก จึงได้เดินธุดงค์ตามป่าเขาจนชีวิตแทบดับสูญ จนพ่อแม่พี่น้องต้องขอร้องให้ท่านสึกเพื่อรักษาตัวอย่างไรก็ตาม ขณะนั้นแม้จะเป็นฆราวาสทั่วไปแล้ว ท่านก็ยังไม่ทิ้งวิชาคาถาอาคมและสมุนไพรใบยา โดยได้ใช้สรรพวิชาเป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านแถบนั้นตลอดมา จนมีเรื่อง เล่าว่า ครั้งหนึ่งพวกโจรป่าคิดที่จะปล้นบ้านของท่าน ขณะที่ได้เข้าล้อมบ้านอยู่นั้น ก็ได้บังเกิดน้ำป่าไหลมาจากทุกทิศทางมาท่วมหมู่โจรทั้ง 11 คน ซึ่งต่างก็ร้องขอชีวิตและสัญญาว่าจะเลิกเป็นโจร หลังจากนั้นไม่นานน้ำป่าอันเชี่ยวกรากก็หายวับไปกับตาต่อมาเมื่ออายุได้ 59 ปี ท่านเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายทางโลก จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้งหนึ่ง และได้ร่วมธุดงค์กับหลวงปู่เอียด ธัมมปาโล วัดหนองช้างแล่น อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งเป็นพระสงฆ์เรืองอิทธิฤทธิ์อันอเนกอนันต์ และท่านยังได้มาศึกษาสรรพวิชาไสยเวทวิทยาคม จาก พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต ปรมาจารย์ทองเฒ่า แห่งสำนักเขาอ้อ จ.พัทลุง นอกจากนี้ ยังมี เจ้าอธิการเรือง แห่งวัดป่าพยอม จ.พัทลุง, หลวงปู่หวาน แห่งวัดบ้านนา จ.พัทลุง, พระบริสุทธิ์ศีลาจารย์ (วัน มะนะโส) แห่งวัดประสิทธิชัย จ.ตรัง หลวงพ่อแสง ธัมมสโรท่านก็ยังได้เดินทางไปศึกษาสรรพวิชา ไสยเวทวิทยาต่างๆ ที่วัดเขาอ้อ จ.พัทลุง กับ หลวงปู่เล็ก ปุญญโก แห่งวัดประดู่เรียง จ.พัทลุง และ พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม วัดดอนศาลา จ.พัทลุง หลวงปู่แสง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวพุทธ ทั้งในพื้นที่จังหวัดตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช กระบี่ ภูเก็ต สงขลา ตลอดจนชาวมาเลเซีย และสิงคโปร์ จวบจนถึง พ.ศ.2536 ท่านก็มีอาการอาพาธเนื่องจากโรคชรา และต้องเหน็ดเหนื่อยจากการรับแขกจากทุกทิศ หลวงปู่แสง ยังได้จัดสร้าง พระเครื่องวัตถุมงคลหลายรุ่น เหรียญหลวงพ่อแสงที่ล้วนมีประสบการณ์ลือลั่นอย่างกว้างขวาง หลังจากนั้นเพียง 2 ปี พ่อท่านแสงด้วยสภาพสังขารที่ร่วงโรย หลวงพ่อแสง ธัมมสโร วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ (วัดในเตา)ได้มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อปี พ.ศ.2538 นำความโศกเศร้าแก่ญาติโยมและศิษยานุศิษย์โดยทั่วกันอย่างไรก็ตาม ในห้วงเวลาที่ หลวงพ่อแสงยังมีชีวิตอยู่ มีเรื่องเล่ากล่าวขวัญเกี่ยวกับอภินิหารต่างๆ มากมาย เช่น ชาวบ้านในชุมชนบ้านในเตา จะทราบดีว่า หากมีฝนตกลงมาในขณะเวลาที่ท่านกำลังเดินบิณฑบาต แม้ฝนจะตกหนักหนาสักแค่ไหน หลวงพ่อแสง ก็ไม่เคยเปียกฝน ทั้งๆ ที่ไม่ได้กางร่ม หรือหยุดหลบฝน ณ สถานที่ใดเลย
แม้หลวงปู่แสงจะมรณภาพไปนานแล้ว แต่นาม "หลวงปู่แสง ธัมมสโร" ยังอยู่ในศรัทธาของพุทธศาสนิกชนตราบจนปัจจุบัน
| |||||||
|
ประวัติ หลวงพ่อโต วัดบุปผาราม จ.ตราด
ย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2195 "หลวงเมือง" คหบดีชาวบ้านเกาะกันเกรา ต.วังกระแจะ อ.เมือง จ.ตราด ได้เป็นผู้ร่วมมือกับ ชาวบ้านสร้าง "วัดบุปผาราม" บริเวณเชิงเนินที่สวยงาม โดยชาวบ้านเล่าสืบกันมาว่าเมื่อก่อนนี้ในหมู่บ้านและบริเว
ณวัดมีพันธุ์ไม้ ดอกไม้ผลนานาชนิด ออกดอกออกผลตามฤดูกาล ล้วนมีสีสันสวยงาม ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว โดยเฉพาะในบริเวณวัดยังมีพันธ์ไม้ที่ใช้ทำยาไทย และใช้ปรุงน้ำอบน้หอมขึ้นอยู่เป็นอันมาก
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ก่อนที่จะสร้างวัดนี้ขึ้นมาได้มีการสำรวจหาที่ก่อตั้งวัดคณะสำรวจได้มาถึง บริเวณแห่งนี้ได้กลิ่นดอกไม้ หอมหวนตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ แต่หาต้นไม้ที่มาของกลิ่นไม่พบ จึงมีความเห็นร่วมกันว่า คงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะ สร้างวัดตรงบริเวณนี้ หลังจากสร้างแล้วจึงตั้งชื่อ วัดบุปผาราม หมายถึงวัดสวนดอกไม้ เป็นต้นมา
ทั้งนี้ในทะเบียนกรมการศาสนาได้ตรวจพบหลักฐานว่า วัดบุปผาราม สร้างในปี 2195 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2172-2199) และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ.2225 ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231)
หลักฐานด้านโบราณคดีที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุที่เป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยา มีพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย และภาชนะประเภทเครื่องเบญจรงค์ ที่เป็นศิลปะสมัย อยุธยาตอนปลาย มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 22-23
โบราณสถานและโบราณวัตถุที่เป็นศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 24-25 เจดีย์ทรงปรางค์ที่เป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของวัดบุปผาราม เป็นศิลปกรรมที่นิยมสร้างมากในสมัยรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้เป็นเพราะได้รับการบูรณะเปลี่ยนเปลง รูปแบบเดิมจึงเปลี่ยนไปโดยเจดีย์ทรงปรางค์ เป็นเจดีย์ย่อมมุมไม้สิบสองขนาดเล็ก มียอดปรางค์ ตั้งอยู่ด้านหลังของวิหารพระพุทธไสยาสน์
และวิหารพระพุทธไสยาสน์ (วิหารพระนอน) เป็นวิหารก่อด้วยศิลาแลงถือปูน ขนาดกว้าง 3.85 เมตร ยาว 8.95 เมตร หลังคาชั้นเดียวมีพาไลด้านหน้า หน้าบันและซุ้มหน้าต่างประเด็บด้วยเครื่องถ้วยจีนและเครื่องถ้วยยุโรป ฝาผนังและเพดานด้านในมีภาพจิตรกรรมเขียนสีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เพดานเขียนภาพลายดอกไม้ ลายสัตว์ มีนก กวาง มังกรคู่ และอักษรจีน ผนังด้านหลัง พระพุทธรูปเขียนลายนก และลายดอกไม้
ส่วนผนังอีก 3 ด้านเขียน ลายดอกไม้ มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันตก พระพุทธไสยาสน์ หันพระเศียรไปทางทิศตะวันออก โดยหันพระพักตร์ ไปทางเหนือ วิหารหลังนี้บูรณะใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2533
สำหรับพระประธานในอุโบสถ พระครูสุวรรณสารวิบูล เจ้าอาวาสวัดบุปผารามองค์ปัจจุบัน อธิบายถึงประวัติ ความเป็นมาว่า พระประธานในอุโบสถหลังนี้ชื่อ "หลวงพ่อโต" ซึ่งประวัติความเป็นมาโดยละเอียดนั้นไม่มีหลักฐาน ระบุชัดเจน แต่สร้างสมัยเดียวกันหลวงพ่อโตที่วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร
โดยหลวงพ่อโต วัดบุปผาราม ก่อสร้างในสมัยพระพุทธรูปสมัยอยุธยา เนื้อจะเป็นทรายแดงฉาบปูน ปางมารวิชัย รูปพระพักตร์มีรอยยิ้มละไม มีขนาดใหญ่กว่า "หลวงพ่อโต" ที่วัดหลักสี่ราษฎรสโมสรเล็กน้อย แต่มีลักษณะพิเศษก็คือ ที่นิ้วหัวแม่เท้าด้านขวาจะมี "เล็บ" เป็นเนื้อสีขาวขุ่น ขณะที่ หลวงพ่อโต วัดหลักสี่ราษฎรสโมสรไม่มี
พระสุวรรณสารวิบูล กล่าวว่า หลวงพ่อโตองค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์และเป้ฯที่เชื่อถือของชาวเมืองตราดมาช้า นาน ในยุคนั้น ประชาชนเดินทางมากราบไหว้จำนวนมากเพื่อขอพรและขอโชคลาภ
แต่ปัจจุบันโบสถ์และวิหารได้รับการ จดทะเบียนโบราณสถานและโบราณวัตถุอันล้ำค่า จึงไม่ค่อยมีประชาชนเข้ามาสักการะมากนัก เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับความเสียหาย และถูกโจรกรรมจากกลุ่มมิจฉาชีพ
ทั้งนี้ หลวงพ่อโต วัดบุปผาราม เป็นที่รู้จักในความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก, หลวงพ่อพระพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา,หลวงพ่อวัดไร่ขิง จ.นครปฐม, หลวงพ่อโต วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร จ.สมุรสาคร, หลวงพ่อวัดบ้านแหลม จ.สมุทรสาคร, หลวงพ่อวัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร กรุงเทพฯ, หลวงพ่อพระพุทธชนะมาร วัดธรรมบันดาล จ.นครราชสีมา
พระพุทธรูป ที่กล่าวถึงนี้ล้วนทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์มาช้านาน หลวงพ่อโต วัดบุปผาราม ในบรรดาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏบุญญฤทธิ์ เป็นที่พึงทางใจของชาวพุทธไม่เสื่อมคลาย
พระเครื่องประจำวันเกิด : พระเครื่องประจำวันเกิด พระเครื่องที่ถูกโฉลกสำหรับคนเกิดวันต่างๆ คนเกิดวันไหน ควรบูชาพระเครื่อง ชนิดใด แบบไหน เรารวบรวมมาให้ท่านแล้ว |
พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันเสาร์
สิทธิการิยะ ท่านที่เกิดวันเสาร์ ท่านว่าเป็นคนจริงจังกับชีวิต พูดจริงทำจริง
ภายนอกดูดุดันแต่ภายในใจเป็ฯคนใจอ่อน แต่เป็นคนที่หาคนทำร้ายได้ยากยิ่ง
เนื่องจากตำแหน่งลักขณาดาวนี้ดวงแข็ง
โบราณจารย์ถือว่า คนเกิดวันเสาร์นั้นดวงแข็งไม่มีผู้ใดทำร้ายได้
จึงถือเอาพระปางนาคปรกเป็นพระประจำวันเกิด เนื่องจากหมายถึง
พระยามุจรินทร์นาคราช มาแผ่พังพาฬป้องกันภยันตรายต่างๆแก่พระพุทธองค์
สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เกิดในวันเสาร์
เนื่องจากดาวเสาร์ เป็นคนจริงจังเคร่งเครียด
พระพิมพ์ที่เสริมดวงของผู้ที่เกิดวันนี้นั้นควรจะเป็น
พระที่ทำจากว่านอันเป็นคุณลักษณะที่เย็นและบริสุทธิ์จากธรรมชาติ อาทิเช่น
พระว่านหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ ปัตตานี , พระกำแพงว่านหน้ากอง หน้าเงิน
พระว่านจำปาศักดิ์ ประเทศลาว , พระมหาว่านขาว มหาว่านดำ สำนักเขาฮ้อ พัทลุง ฯลฯ
พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันศุกร์ สิทธิการิยะ คนที่เกิดวันศุกร์นั้นท่านว่าเป็นคนราคะจริตสูง เป็นคนหลงในสิ่งสวยงาม ชอบของสวยของงาม ทำงานประณีต โบราณจารย์ ท่านจึงให้พระปางรำพึง เป็นอณุสติเตือน ปางรำพึงนั้น ตามพุทธประวัติเป็นปางที่พระพุทธองค์ พิจารณาธรรมสังเวช หมายถึง อสุภกรรมฐาน ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เกิดวันศุกร์จึงควรมีพระปางรำพึงไว้เป็นอณุสติไว้ ไม่ให้หลง สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสมกับผู้ที่เกิดวันศุกร์นั้น จึงควรเป็นพระปิตตาภควัมปติ เพื่อเป็นลักษณะอณุสติเตือนใจ มิให้หลงในสิ่งต่างๆ และเสริมดวงโชคลาภวาสนา จะไหลมาอย่างที่คาดไม่ถึง พระพิมพ์ปิตตาภควัมปติที่มีชื่อเสียงอาทิ เช่น พระภควัมปติ ของหลวงพ่อแก้ว จ.ชลบุรี พระภควัมปติของหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง จ.นนทบุรี ฯลฯ สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันศุกร์ พระคู่กาย ควรจะเป็นพระปิตตา มหาอุตม แบบต่างๆ เป็นดีที่สุด Tags พระเครื่อง - คนเกิดวันศุกร์ - วันศุกร์ - พระปางรำพึง - พระปิตตาภควัมปติ - พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันศุกร์
|
พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์ สิทธิการิยะ ท่านว่าคนเกิดวันอาทิตย์นั้นเป็นคนมีความมาดมั่น มุ่งมั่นในงาน มีความว่องไว แต่มักฉุนเฉียวง่าย การตัดสินใจมักขาดความยั้งคิด โบราณจารย์ท่านจึงให้พระพุทธปางถวายเนตรเป็นพระประจำวันเกิด เนื่องจากปางถวายเนตร เป็นปางยืนพิจารณาธรรมอันปิติ ในท่าสำรวม หมายถึงการกระทำอย่างมีสติ ดังนั้นเมื่อดาวอาทิตย์ เป็นตำแหน่งลักขณาที่มีอำนาจอยู่ในตัว พระเครื่องที่ผู้เกิดวันอาทิตย์ควรอาราธนาเพื่อความเป็นศิริมงคลนั้น ควรจะเป็นพระพิมพ์ที่ผ่านความร้อนจากไฟ เนื่องจากจะช่วยหนุนธาตุประจำตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเป็นพระปางมารวิชัย เนื่องจากเป็นพระพิมพ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะพญามาร เนื่องจากเจ้าชะตาผู้เกิดวันอาทิตย์ เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจประกอบอาชีพ จึงมักมีศัตรูหรือ อริ พระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้แก่ พระรอด ลำพูน , พระดง ลำพูน , พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง จังหวัดสุพรรณบุรี , พระหลวงพ่อโต กรุบางกระทิง พิมพ์มารวิชัย , พระกริ่งคลองตะเคียน อยุธยา , พระกรุวัดตะไกร อยุธยา , พระกรุขรัวอีโต้ วัดเลียบ กทม. ฯลฯ สรุป สำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์ พระคู่กายควรจะเป็น พระนั่งศิลปแบบนั่งมารวิชัย เป็นดีที่สุด |
พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันพุธ สิทธิการิยะ คนที่เกิดวันพุธแยกเป็นสองนัย กล่าวคือ พุธกลางวันอย่างหนึ่ง พุธกลางคืนอย่างหนึ่ง พุธกลางวันนั้น ท่านว่าเป็นคนมีฝีปากกล้า ค้าขายคล่องแคล่ว เดินทางเก่ง ติดต่อสื่อสารกับผู้ใดมักได้ลาภเสมอ แต่มักทำคุณคนไม่ขึ้น ทำดีสิ่งใด มักไม่มีใครเห็น โบราณจารย์ท่านจึงได้ให้พระปางอุ้มบาตร เป็นพระประจำวันเกิดในวันพุธกลางวัน หมายถึงการบิณฑบาตร โปรดสัตว์ โดยมิได้เห็นแก่พระราชามหากษัตริย์หรือขอทานยาจก แม้ผู้ใดปรารถนาในกุศล ท่านโปรดเท่าเทียมกัน จึงเป็นอนุสติ แก่เจ้าชะตาผู้เกิดในวันพุธกลางวัน ว่าแม้ทำความดี มิมีได้เห็น ก็ไม่ต้องใส่ใจ พุธกลางคืนนั้น ท่านว่า เป็นคนลึกลับมีความรู้ความสามารถในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถ มักจะมีลางสังหรณ์ทราบการณ์ล่วงหน้า แต่มักไม่ค่อยมีคนเข้าใจเวลามีปัญหา โบราณจารย์ท่านจึงให้พระปางป่าเลไลย์เป็นอณุสติ เนื่องจากพระปางนี้ เป็นปางที่พระพุทธเจ้าทรงเบื่อหน่ายพระสาวกที่ขัดแย้งกัน พระพุทธองค์จึงทรงเสด็จไปเพียงลำพัง ณ ป่าเลไลย์ มีช้างป่ามาถวายกล้วย และ ลิงมาถวายน้ำผึ้ง ฯลฯ สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางวันนั้น เนื่องจากวันพุธเป็นฤกษ์แห่งการทำกิน พระเครื่องที่เหมาะสมนั้นควรเป็นพระประเภทลีลา หรือปางลีลาเสด็จกลับจากดาวดึงส์ มีความหมายแห่งความก้าวหน้า อาทิเช่น พระกำแพงเพชรลีลา พิมพ์ต่างๆ เช่น ลีลาเม็ดขนุน , ลีลาพลูจีบ , ลีลากลีบจำปา , ลีลาเมืองสวรรค์ ชัยนาท ลีลายี่สิบห้าพระพุทธศตวรรษ พุทธมณฑล ฯลฯ สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนนั้น เนื่องจากลักษณะวันนั้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนมักมีสัมผัสพิเศษ และมีลางสังหรณ์มากกว่าวันอื่น ดังนั้น นอกจากพระเครื่องพระพิมพ์ที่อาราธนาแล้วควรจะมีเครื่องราง เสริมดวงได้ป้องกันอาถรรพ์ต่างๆ ซึ่งคนที่เกิดในวันนี้ สัมผัสได้ง่าย ตัวอย่างเครื่องรางที่ควรพกพา เช่น ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง , ตะกรุดคณาจารย์ต่างๆ , ลูกอมผงพุทธคุณ ฯลฯ สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันพุธกลางวัน พระคู่กายคือ พระยืนปางลีลาต่างๆ สำหรับท่านที่เกิดวันพุธกลางคืน พระคู่กายคือ พวกเครื่องรางแบบต่างๆ |