วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า " รัก " (ไอ้ดื้อ)

นกของผมมีชื่อว่า "ดื้อ"



ผมได้มันมาโดยความบังเอิญ ตอนแรกได้มา 2 ตัว แต่อีกตัวมีขนาดที่เล็กกว่ามันมากนัก ตอนที่ได้มานั้นลูกนกทั้งสองตัวนี้มันยังไม่ลืมตาเลยครับ

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พ่อท่านจันทร์ ประวัติ หลวงพ่อจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ

พ่อท่านจันทร์ ประวัติ หลวงพ่อจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ

พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ ตามประวัติ หลวงพ่อจันทร์ ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า เครื่องราง ควายธนู พ่อท่านจันทร์ ถือเป็นควายธนูหนึ่งเดียวของเมืองใต้ประวัติหลวงพ่อจันทร์ สุเมโธ เกิดวันพฤหัสบดี ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2453 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน6ปีชวด ณ บ้านหลาแก้ว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช บิดาชื่อนายเขียว มารดาชื่อนางพุดแก้ว นามสกุล ทองแก้ว หลวงพ่อจันทร์ ท่านเป็นบุตรชายคนโต มีพี่น้อง4คน มีอาชีพทำสวนทำไร่ ตอนเยาว์วัยได้ศึกษาในสำนักของ พระครูสังฆรักษ์ วัดหลาแก้ว ได้ศึกษาอักขระสมัยและวิชาอาคมต่างๆ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็ศึกษาพุทธาเวทจากตำราต่างๆ มีวิชาอาคมพอตัวเลยทีเดียว นักเลงหัวไม้ต่างกลัวท่าน เนื่องจากท่านหนังเหนียวยิ่งนัก เมื่ออายุครบ 20ปี ก็ได้อุปสมบทที่วัดศาลาแก้ว มีพระครูพนังศรีวิสุทธิพุทธิภักดี เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์เห้ง วัดศาลามีแก้ว เป็นพระกรรมาวาจารย์ หลวงพ่อจันทร์ ได้ฉายาว่า "สุเมโธ"
อักขระปรากฏแก่ พ่อท่านจันทร์คราวหนึ่ง พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ ท่านเดินทางธุดงค์อยู่ในป่าช้าจังหวัดพัทลุงขณะที่ท่านเข้าพักแขวนกลดไว้กับกิ่งไม้ในป่าช้าวัดแห่งหนึ่งบริเวณใกล้ริมคลองป่าเรียบร้อยแล้ว “หลวงพ่อจันทร์”ท่านก็เดินจงกลมคลายความเหน็ดเหนื่อยพอสมควรแล้ว ท่านก็นั่งสมาธิภาวนาในกลด เพราะเป็นช่วงพลบค่ำพอดี
ความอัศจรรย์เกิดขึ้นแก่จิตขณะที่นั่งสมาธิจนจิตค่อยสงบลงแล้วสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แจ่มใสมาก “หลวงพ่อจันทร์”ท่านได้เล่าให้บรรดาศิษย์ฟังภายหลังว่าจิตสงบดีแล้วเหตุการณ์การอันอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น ทำให้เห็นอักขระแบบภาษาขอมลอยขึ้นเด่นชัด จากริมแม่น้ำลำป่า ไปอยู่ในท่ามกลางอากาศก็ได้กำหนดอักขระเหล่านั้นมาพิจารณา แล้วทำอุบายเพ่งเป็นกสิณ โดยอาศัยอักขระโบราณที่ปรากฏมาเป็นนิมิตรหมายแห่งการบำเพ็ญเพ่งเป็นองค์กสิณยิ่งนานวัน ความสงบยิ่งแนบแน่นตามลำดับ
พยัคฆามาเยี่ยมเมื่อความมืดมาปกคลุมไปทั่วลุ่มน้ำลำป่า จังหวัดพัทลุง บริเวณภายนอกกลดอากาศเย็นเป็นพิเศษ ขณะ"พ่อท่านจันทร์"และหมู่คณะของท่านนั่งกำหนดจิตอยู่ ทันใดนั้นความเงียบก็ถูกทำลายด้วยอำนาจเสือโคร่งตัวโต เสียงร้องของมันขู่ข่มขวัญ ทุกคนที่ได้ยิน มันเดินไปวนมาข้างๆกลดเพราะได้กลิ่นมนุษย์ พระธุดงค์ดังกล่าวได้ปฏิบัติตามคำเตือนให้อยู่ในความสงบ นั่งปฏิบัติกันโดยปกติ เสือเหมือนมาทดสอบจิตใจเมื่อพระธุดงค์ทุดท่านมีมานะอดทนที่แน่วแน่ พร้อมทั้งแผ่เมตตาไปยังเสือตัวนั้นในที่สุดเสือโคร่งก็สิ้นความพยายามผละหายกลับไปในป่าลึก
หลวงพ่อจันทร์ พบดินแดนสงบจากการเดินธุดงค์ไปทั่วทั้ง 14จังหวัดภาคใต้ ต่อมาในปี พ.ศ.2491 พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ ท่านได้จำพรรษาที่ วัดทุ่งเฟื้อ เพราะเล็งเห็นว่าเหมาะแก่การเจริญวิปัสสนาสมาธิเป็นอย่างยิ่ง จากอดีต วัดทุ่งเฟื้อ ที่เคยมีสภาพทรุดโทรม ก็ได้รับการพัฒนาเปิดป่า เปลี่ยนเป็นศาลาโรงธรรม หอระฆัง พระอุโบสถและกุฏิสงฆ์ขึ้นมาตามลำดับ ต่อมา พ่อท่านจันทร์ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดทุ่งเฟื้อ อย่างสมบูรณ์ พระสงฆ์ต่างจังหวัดและชาวบ้านต่างมาฝากตัวเป็นศิษย์ท่านเป็นจำนวนมาก เพื่อศึกษาตำราพิชัยสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องวิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด แต่งคนเลิศดีนักแลฯ ถือเป็นวิชาสุดยอดทั้งนั้นและ หลวงพ่อจันทร์ ก็เคยเดินทางไปศึกษาวิชากับ อาจารย์เอียดดำ วัดในเขียว อีกด้วย

ชาวบ้านที่ศรัทธาต่อหลวงพ่อจันทร์

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาฌมุนี (หลวงพ่อแช่ม สังฆปาโมกข์)


หลวงพ่อแช่มมรณภาพในปี พ.ศ.2451




เมื่อมรณภาพบรรดาศิษย์ได้ตรวจหาทรัพย์สินของหลวงพ่อแช่ม ปรากฏว่าหลวงพ่อแช่มมีเงินเหลือเพียง 50 เหรียญเท่านั้น ความทราบถึงบรรดาชาวบ้านปีนังและจังหวัดอื่นในมาเลเซีย ต่างก็นำเงิน เอาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น มีข้าวสาร มีคนมาช่วยเหลือหลายเรือสำเภา
งานศพของหลวงพ่อแช่มจัดได้ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในจังหวัดภูเก็ต หรืออาจจะกล่าวได้ว่า มโหฬารที่สุดในภาคใต้บารมีของหลวงพ่อแช่มก็มีมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

เหรียญหลวงพ่อแช่ม ปี 97 เนื้อเงินลงยา


เหรียญสี่เหลี่ยมหลวงพ่อแช่ม


เหรียญหลวงพ่อแช่ม ปี 86 วัดฉลอง ภูเก็ต

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติ พ่อท่านหีต ปภังกโร วัดเผียน









ผู้เลิศด้วยบารมีญาณแห่งขุนเขาแดง วัตถุมงคลพระเครื่องของท่านกำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงในขณะนี้



บารมีญาณของ "พ่อท่านหีต" นับได้ว่าเป็นผู้ล่วงรู้ “กาลเวลาอนาคต” อีกท่านหนึ่งใน “ภาคใต้” เพราะ“พระอธิการหีต ปภงฺกโร”เคยชี้แนะ “ผู้ทุกข์ยาก” ที่ดั้นด้นไปขอเลขแห่งความร่ำรวยว่า “ให้ไปเอาเลขจากเถ้าแก่หว่าซานแห่งทุ่งสง ตามนั้นแหละจะถูกต้อง” ปรากฏว่าเลขงวดนั้นออกตามคำประกา ศิตของ “พ่อท่านหีต” ทุกประการรวยกันทั้งผู้ให้และผู้ขอตาม ๆ กันทั้งที่เกิดมา “เถ้าแก่หว่าซาน” ก็ไม่เคยรู้จัก “พ่อท่านหีต” มาก่อนเลยโดยเรื่องนี้มีเรื่องเล่ากันว่า “ชาวบ้านตำบลสามร้อยกล้า” ไปนิมนต์พ่อท่านไปงานทำบุญบ้านแต่พ่อท่านไม่นิยม “นั่งรถ” รถทุกชนิดจึงบอกให้กลับไปก่อนแล้วท่านจะตามไปเอง ชาวบ้านตำบลสามร้อยกล้าจึงกลับไปพอถึงบ้านที่มีงานกลับเห็น “พ่อท่านหีต” นั่งอยู่ในพิธีแล้วเป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง ทั้งนี้ก็เพราะท่านย่นหนทางได้ทุกกาลเวลานั่นเองและ “นายสว่าง รัตนมณี” ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เห็น ปาฏิหาริย์ของ “หลวงพ่อหีต” ด้วยสายตาตัวเองที่สามารถเดิน “บนผิวน้ำข้ามลำธาร” ในป่าซึ่งเชี่ยวกรากและสามารถย่นย่อตัวท่านเอง “สรงน้ำในกา” ขนาดเล็กได้อย่างเหลือเชื่อยิ่ง “เหนือลิขิต?? ประกาศิตฟ้าดิน??” ฉบับนี้จึงขอนำท่านผู้อ่านไปพบเรื่องราวที่ “เหลือเชื่อ” ดังได้กล่าวว่าเป็น “เรื่องจริง” ที่เกิดขึ้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ดังนี้



ประวัติพระคณาจารย์ พระเครื่อง หลวงพ่อหีตอริยสงฆ์แห่ง เมืองนคร หลวงพ่อหีต พระเถระอาจารย์ผู้ทรงกิตติคุณลือชารูปนี้มีรูปร่าง “ผอมสูง” ผิวดำแดงกร้านแกร่งแฝงไว้ด้วยความทรหดอดทน มือเท้าใหญ่โตที่แสดงถึงการออกธุดงค์รอนแรมตามป่าเขาลำเนาไพรมาหนักโดย สังเกตได้ที่ “ตาตุ่ม” ข้อเท้าทั้งสองของท่านด้านหนาอันเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้ทราบว่าท่าน “นั่งสมาธิ” มานานมากแล้วสายตาของท่านแข็งกล้ามีขอบสีฟ้ารอบตาดำเป็นประกายแวววาว ตบะเดชะเข้มข้นใครสบตากับท่านเมื่อคราวออกจากญาณสมาบัติเป็นต้องผงะซึ่งแสดง ถึง “ภาวนาสมาธิ” จากอำนาจบารมีญาณของท่านสูงส่งมีอำนาจในตัวเอง การเจรจาแฝงไว้ด้วยเมตตาเป็นที่ตั้ง ศีลาจารวัตรสังเกตดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะไม่มีสมบัติมากมายมีเพียง “เสื่อเก่า ๆ และหมอนไม้แข็ง” เป็นที่พำนักหลับนอนเท่านั้นซึ่งท่านบอกว่า “ความสบายกายทำให้เกิดทุกข์ เกิดกิเลส เกิดตัณหา มีอุปาทาน ไม่สามารถหลุดพ้นจากสภาวจิต เข้าสู่สภาวธรรมได้”
ประวัติพ่อท่านหีต วัดคีรีรัตนาราม (เผียน)พ่อท่านหีต วัดคีรีรัตนาราม (วัดเผียน)” พระอธิการหีต ปภงฺกโร ท่านนั้นเกิดในตระกูลชาวนาที่ ต.ถ้ำทอง อ.ทับปุด จ.พังงา ในตระกูลสกุล “บุญมา” เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2459 บิดาชื่อ “นายนอง” มารดาชื่อ “นางเหลื่อม” ท่านเป็นบุตรชายคนเดียว จึงเป็นกำลังหลักของตระกูลชาวนาที่ต้องช่วยพ่อ-แม่ทำนาจนอายุได้ ๑๙ ปี จึงไปอยู่ที่ “วัดโคกลอย” โดยบิดาพาไปฝากเป็นศิษย์ของ “พ่อท่านรักษ์ วัดโคกลอย” แล้วให้บวชเป็นสามเณรโดย “พระครูภาณีศรีระวัฒน์” แล้วจำพรรษาศึกษาธรรมและอักขระเลขยันต์ทางไสยศาสตร์ ตลอดจนวิปัสสนาธุระกับ “พ่อท่านรักษ์” ได้ 2 พรรษา จึงมีอายุ 21 ครบอุปสมบทตามประเพณี จึงทำการอุปสมบทเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2479 ณ อุโบสถวัดชนาธิการาม (สำนักปรุ) ต.นพปริง อ.เมือง จ.พังงา โดยมี “พระปฏิภาณพังงารัฏธ์” เจ้าคณะจังหวัดพังงา “วัดประภาสประจิมเขต” เป็นพระอุปัชฌาย์ “พระวินัยธรรักษ์” (รักษ์ สิริวัฒโน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า “ปภังกโร” หลังจากอุปสมบทแล้วได้กลับไปจำพรรษาที่วัดโคกลอยอีก 1 พรรษา จึงออกธุดงค์ไปจนถึงภูเก็ต ในปี พ.ศ. 2480 และเข้าจำพรรษาที่ “วัดโฆษิตวิหาร” เพื่อศึกษาธรรมะกับ “พระครูสีขะรัตนสมณคุณ วัดมงคลนิมิตร” ครั้นถึงปี พ.ศ. 2483 จึงย้ายไปจำพรรษาที่ “วัดพิชิตสังฆาราม” ต.สินไนย อ.เมือง จ.ภูเก็ต จนสามารถสอบนักธรรมเอกได้ในปี พ.ศ. 2486 เมื่อศึกษาธรรมะจนมีความรู้แจ้งแตกฉานดีแล้ว จึงออกธุดงค์เรื่อยไปเพื่อฝึกฝนการปฏิบัติตามขุนเขาลำเนาไพรระหว่างทางพบ “ถ้ำเขาแดง” สงบวังเวงเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมจึงเข้าพักปฏิบัติภาวนาอยู่นาน 12 ปี กระทั่งถึงปี พ.ศ. 2500 ชาวบ้านมาพบท่านเข้าเห็นมีศีลาจารวัตรน่าศรัทธาเลื่อมใส ปฏิบัติธรรมอยู่ในถ้ำอย่างวิเวก จึงร่วมกันนิมนต์ให้ท่านลงจากถ้ำมาอยู่ วัดเผียน ตรงบริเวณเชิงเขาแห่งนั้นแล้วช่วยกันจัดแจงปรับปรุง “วัดร้าง” ให้มีสภาพคืนมาสู่วัดไม่ร้างอีกครั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา
หลังจาก “พ่อท่านหีต” ปักหลักตามคำนิมนต์ของชาวบ้านอยู่ที่ “วัดเผียน” ได้ไม่นานก็เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านทั่วไปกระทั่งวันหนึ่งมีผู้เดือด ร้อนเรื่อง “เงินทอง” ไม่มีทางแก้ไขจึงไปหาท่านเพื่อขอให้ท่านช่วยซึ่งพอท่านทราบ ก็ทำการพิจารณาเห็นว่าไม่มีทางอื่นใดจะช่วยได้เพราะโดยปกติแล้วมีผู้ไปขอ “เลขหวย” อยู่เสมอแต่ท่าน “ไม่เคยให้ใคร” กลับสอนว่าให้ขยันทำมาหากินก็จะเจริญรุ่งเรืองอย่าไปหวัง กับการเล่นการพนัน แต่วันนั้นท่านพิจารณาเห็นความจำเป็นหรือล่วงรู้กาลชะตาโชคของชายผู้นั้นก็ ไม่อาจทราบได้ จึงแนะให้ชายผู้นั้นไปแทงเลขตาม “เถ้าแก่หว่าซาน” (คุณวรศักดิ์ อดิเทพวรพันธ์) อ.ทุ่งสง แล้วจะได้เงินมาแก้ปัญหาซึ่งชายผู้นั้นก็ไม่เคยรู้จักกับเถ้าแก่หว่าซานมา ก่อนหรือแม้กระทั่ง “พ่อท่านหีต” เองก็ไม่รู้จักเถ้าแก่หว่าซานเช่นกันแต่ด้วยปัญหาการเงินที่เดือดร้อน จึงทำให้ชายผู้นั้นไปสืบเสาะหาจนพบแล้วตัดสินใจถาม “งวดนี้แทงเลขอะไร” เถ้าแก่หว่าซานไม่ทันตั้งตัวเพราะจู่ ๆ ก็มีคนไม่รู้จักมาถามจึงบอกเลขไปแบบไม่รู้ตัว ชายผู้นั้นจึงนำเลขนั้นไปซื้อตามที่ได้มาปรากฏว่า งวดนั้นเลขออกมาตรงพอดีจึงรวยกันไปทั้งผู้บอกและผู้ถาม

จึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่ หลวงพ่อท่านหีต ล่วงรู้กาลอนาคตได้อย่างแม่นยำเหมือนตาเห็น และรู้แม้กระทั่งชื่อของผู้ที่จะซื้อเลขถูก เพียงแต่หลวงพ่อท่านหีตไม่บอกโดยตรงกับชายผู้นั้น ท่านคงเลี่ยงที่จะบอกเลขบอกหวยตามคติของท่านก็เป็นได้ จึงได้บอกอ้อม ๆ ให้ชายผู้นั้นใช้ความเพียรพยายาม อย่างน้อยก็ได้ทำงานเสียบ้างเพื่อจะได้เงินไปแก้ไขปัญหา เพราะเรื่องการเงินท่านก็ไม่มีทางอื่นจะช่วยเหลือได้ ส่วนปาฏิหาริย์อีกเรื่องที่มีคนเห็นจำนวนมากเกิดขึ้นในงาน “สร้างถนน” ของชาวบ้าน ที่ “คุณกริช ตัญบุญยกิจ” ซึ่งเป็นพ่อค้าในตลาด “อำเภอร่อนพิบูลย์” เล่าว่าวันนั้นคุณกริชและพี่ชายได้ติดต่อซื้อหินมาถมถนนจาก “สามแยกห้วยไม้แก่น” เข้า “วัดเผียน” ระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตร “พ่อท่านหีต” จึงขอแรงชาวบ้านละแวกนั้นช่วยกันเกลี่ยหิน “คุณกริช” และพี่ชายก็ยืนดูด้วยและหลังจากถมได้ประมาณ “ครึ่งกิโลเมตร” พระอธิการหีตก็บอกว่าเดี๋ยวฝนตกจึงชวนคุณกริชและพี่ชายกลับเข้าวัดก่อน แต่พี่ชายคุณกริชบอกว่าเอารถมาจึงให้พ่อท่านกลับก่อน แต่ความจริงแล้วคุณกริชและพี่ชายต้องการ “ทดสอบพ่อท่านหีต” ว่าจะเป็นตามที่เขาเล่าลือกันว่า “พ่อท่านย่นหนทางได้” จริงแค่ไหนดังนั้นหลังจากพ่อท่านหีตเดินลับทางโค้งไปแล้ว ก็ขึ้นรถสตาร์ตเครื่องแล้วขับตามทันที กระทั่งขับรถไปถึงทางโค้งที่เห็นหลังพ่อท่านไว ๆ ตอนขึ้นรถกลับไม่เห็นท่านแล้ว จึงขับรถตามไปยังกุฏิก็เห็นพ่อท่านนั่งอยู่แล้วพี่ชายคุณกริชรีบทักพ่อท่าน ว่า “พ่อท่านเดินเร็วจังเลย” พ่อท่านตอบว่า “ต้องเดินเร็ว ๆ เพราะเดี๋ยวฝนจะตกแล้ว” พี่ชายคุณกริชจึงทักท้วงขึ้นว่า “ฝนจะตกได้ยังไงเพราะแดดก็จ้าฟ้าก็สว่าง” พ่อท่านจึงตอบว่า “ฝนตกแล้ว” พอคุณกริชและพี่ชายหันไปดูอีกทีปรากฏว่า “ฝนตกจริง ๆ” จึงนับได้ว่า “พ่อท่านหีต” มีปาฏิหาริย์โดยแท้จริงหากท่านผู้อ่านต้องการรู้เห็นด้วยตัวเองแล้ว เดินทางไปสอบถามชาวบ้าน “อำเภอร่อนพิบูลย์” ได้ทุกเวลา

ประวัติ พระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ

ประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า

วัดเขาอ้อวัดเขาอ้อ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง


ยังมีการกล่าวถึงอยู่ในพงศาวดารพัทลุง ดังปรากฏในหนังสือ "พระสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (อาจารย์ทองเฒ่า) อาจารย์ผู้เฒ่าวัดเขาอ้อ" ซึ่งอาจารย์ชุม ไชยคีรี ศิษย์เอกทางไสยเวทคนหนึ่งของสำนักวัดเขาอ้อได้ค้นคว้าและเรียบเรียงขึ้นมา เป็นประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ มีความว่า"เท่าที่ค้นพบจากพงศาวดาร และจากคำบันทึกของพระ เจ้าของตำรา พระอาจารย์ทุกองค์ในสำนักวัดเขาอ้อมีความรู้ความสามารถในทางไสยศาสตร์ให้แก่ทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นเจ้าเมือง และนักรบมาแต่ครั้งโบราณ เริ่มตั้งแต่สมัยศรีวิชัยตลอดมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระอาจารย์ที่ปรากฏองค์ที่ 1 ชื่อ พระอาจารย์ทอง ในสมัยนั้นทางฟากตะวันตกของทะเลสาบตรงกับวัดพระเกิด ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน ปัจจุบันนี้ครั้งนั้น ตามพงศาวดารเมืองพัทลุงกล่าวว่า ยังมีตายาย 2 คน ตาชื่อ สามโม ยายชื่อ ยายเพ็ชร์ ตายายมีบุตรหลานบุญธรรมอยู่ 2 คน ผู้ชายชื่อ กุมาร ผู้หญิงชื่อ เลือดขาว นางเลือดขาวกล่าวว่าเป็นอัจริยะมนุษย์ คือ เลือดในตัวนางมีสีขาว ผิวขาวผิดกับมนุษย์ธรรมดาสามัญตาสามโมเป็นนายกองช้าง หน้าที่จับช้าง เลี้ยงช้างถวายพระยากรงทอง ปีละ 1 เชือกเมื่อบุตรธิดาทั้งสองเจริญวัยพอสมควรแล้ว ตายายจึงนำไปฝากให้พระอาจารย์ทอง วัดเขาอ้อ สอนวิชาความรู้ให้ พบบันทึกในตำราว่าเริ่มนำตัวไปถวายพระอาจารย์ทองเมื่อวันพฤหัสบดี ปีกุน เดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 301 (พ.ศ.1482) จะศึกษาอยู่นานเท่าใดไม่ปรากฏ ทราบแต่ว่าเป็นผู้มีความรู้ทางอยู่ยงคงกระพัน กำบังกายหายตัว และอื่นๆ เป็นอย่างดียิ่ง ต่อมาตายายให้บุตรบุญธรรมทั้งสองแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน พระยากรงทองโปรดให้ไปเป็นเจ้าเมืองชื่อพระกุมารและนางเลือดขาว ตั้งเมืองอยู่ที่บางแก้วฝั่งทะเลสาบตะวันตก ชื่อเมืองตะลุง ได้สร้างวัดและเจดีย์วัดตะเขียน (วัดบางแก้ว ตำบลเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เดี๋ยวนี้) การที่ให้ชื่อเมืองว่า เมืองตะลุง อาจจะเป็นเพราะว่าเดิมเป็นหลักล่ามช้าง ต่อมาจึงกลายเป็นเมืองพัทลุง พระกุมารและนางเลือดขาวเป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างวัดวาอาราม พระพุทธรูป พระเจดีย์ ในเขตเมืองพัทลุง เมืองนครศรีธรรมราช และเมืองตรัง หลายแห่งด้วยกัน เช่น วัดบางแก้ว วัดสทังใหญ่ เมื่อปีพ.ศ. 1493 สร้างวัดพระพุทธสิหิงค์ จังหวัดตรัง 1 วัด สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ 1 องค์ พอจะจับเค้ามูลได้ว่าวัดเขาอ้อมีมาก่อนเมืองพัทลุง เพราะกุมารมาศึกษาวิชาความรู้ก่อนเป็นเจ้าเมือง"และยังมีตอนหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องถึงประวัติของหลวงพ่อทวด แห่งวัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี แต่ครั้งยังอยู่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ว่า"เมื่อจุลศักราช 991 (พ.ศ.2171) พระสามีรามวัดพะโคะ หรือที่เราทราบกันเดี๋ยวนี้ว่า หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ซึ่งประชาชนในสมัยนั้นยกย่องถวายนามว่าสมเด็จเจ้าพะโคะ ท่านได้ไปเรียนพระปริยัติธรรม ณ กรุงศรีอยุธยา เป็นผู้แตกฉานในอรรถธรรม ครั้งนั้นยังมีพราหมณ์เป็นนักปราชญ์มาจากประเทศสิงหล (ลังกา) มาตั้งปริศนาปัญหาธรรมที่แสนยาก พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาโปรดให้พระสามีรามเถระแก้ปัญหาธรรมนั้นๆ จนชนะพราหมณ์ชาวสิงหล จึงพระราชทานยศเป็นพระราชมุนี
เมื่อกลับมาเมืองพัทลุงได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระรัตนมหาธาตุไว้บนเขาพะโคะ สูง 1 เส้น 5 วา มีระเบียงล้อมรอบพระเจดีย์ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้นฉลองพระเจดีย์นั้น ท่านอาจารย์เฒ่า วัดเขาอ้อ พัทลุง องค์หนึ่งชื่อ สมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งคงจะเป็นชื่อที่ยกย่องเช่นเดียวกับสมเด็จเจ้าพะโคะ นำพุทธบริษัทไปในงานฉลองพระเจดีย์ทางเรือใบ แสดงอภินิหารวิ่งเรือใบเลยขึ้นไปถึงเขาพะโคะ ซึ่งไกลจากทะเลมาก ทำให้ประชาชนที่เห็นอภินิหารเคารพนับถือ และปัจจุบันสถานที่ตรงนั้นเรียกกันว่า "ที่จอดเรือท่านอาจารย์วัดเขาอ้อ"ต่อมา ท่านสมเด็จเจ้าพะโคะ ให้คนกวนข้าวเหนียวด้วยน้ำตาลโตนด ภาษาภาคใต้เรียกว่า เหนียวกวน ทำเป็นก้อนยาวประมาณ 2 ศอก โตเท่าขา ให้พระนำไปถวายสมเด็จเจ้าจอมทอง วัดเขาอ้อ ครั้นถึงเวลาฉันท่านสมเด็จเจ้าจอมทองสั่งให้แบ่งถวายพระทุกองค์ ศิษย์วัดตลอดถึงพระก็ไม่มีใครที่จะแบ่งได้ เอามีดมาฟันเท่าใดก็ไม่เข้า ทราบถึงสมเด็จเจ้าจอมทอง ท่านสั่งให้เอามาแล้วท่านจึงเอามือลูบ แล้วส่งให้ศิษย์ตัดแบ่งถวายพระอย่างข้าวเหนียวธรรมดา
อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จเจ้าจอมทองให้พระนำแตงโมใบใหญ่ 2 ลูก ไปถวายสมเด็จเจ้าพะโคะ พอถึงเวลาฉันก็ไม่มีใครผ่าออก สมเด็จเจ้าพะโคะทราบเข้าก็หัวเราะชอบใจ พูดขึ้นว่า สหายเราคงแสดงฤทธิ์แก้มือเรา ท่านรับแตงโมแล้วผ่าด้วยมือของท่านเองออกเป็นชิ้นๆ ถวายพระการแสดงอภินิหารของพระอาจารย์ครั้งโบราณเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ซึ่งมีมากอาจารย์ด้วยกัน ต่อจากนั้นพระอาจารย์วัดเขาอ้อทุกๆ องค์ ได้แสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ตลอดมา จึงเป็นที่เคารพนับถือของบุคคลทุกชั้น เจ้าเมืองพัทลุงทุกคนต้องไปเรียนวิชาความรู้ที่วัดเขาอ้อกล่าวสำหรับเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ เท่าที่สืบค้นพบจนถึงปัจจุบัน มี 11 รูป ด้วยกัน
ดังนี้
1. พระอาจารย์ทอง
2. พระอาจารย์สมเด็จเจ้าจอมทอง
3. พระอาจารย์พรมทอง
4. พระอาจารย์ไชยทอง
5. พระอาจารย์ทองจันทร์
6. พระอาจารย์ทองในถ้ำ
7. พระอาจารย์ทองนอกถ้ำ
8. พระอาจารย์สมภารทอง
9. พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต
10. พระอาจารย์ปาล ปาลธฺมโม
11. พระครูอดุลธรรมกิตติ์ (กลั่น อคฺคธมฺโม)
พระอาจารย์วัดเขาอ้อนั้นล้วนต่างมีวิชาความรู้ความสามารถมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งนี้เพราะต่างศึกษาวิชากันมาไม่ขาดระยะ ตำราและวิชาความรู้ที่เป็นหลัก คือ การศึกษาเวทมนตร์คาถาเป็นหลัก เรียนตั้งแต่ธาตุ 4 ธาตุ การตั้งธาตุ หนุนธาตุ แปลงธาตุ และตรวจธาตุ วิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด สอนให้รู้กำเนิดที่มาของเลขยันต์อักขระต่างๆ นอกเหนือจากการสอนวิชาความรู้ทางไสยเวทแล้ว ยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับรักษาโรคด้วยสมุนไพรมีเรื่องเล่าขานถึงปาฏิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์ในวิชาของอดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อมากมาย อย่างอดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อ สมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งนับว่ามีบุญญาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก นอกจากจะมีสานุศิษย์มากมายแล้ว สัตว์ป่านานาชนิดยังเข้ามาพึ่งพาอาศัยอยู่ในวัดเป็นจำนวนมาก และไม่มีผู้ใดเข้ามาทำร้ายทำอันตรายต่อสัตว์เหล่านั้น ด้วยต่างทราบกันว่า ท่านให้การปกปักรักษาเหล่าสัตว์เหล่านั้น ที่สำคัญคนละแวกวัดเขาอ้อล้วนทราบดีว่าท่านมีวาจาศักดิ์สิทธิ์
ทว่าครั้งหนึ่งคนต่างถิ่นตามล่ากวางเผือกตัวหนึ่งของสมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งอาศัยอยู่ในวัดเขาอ้อ เป็นกวางที่เชื่องมาก โดยปกติแล้วกวางตัวนี้จะหายไปจากเขตวัดเพื่อหากินไกลๆ ครั้งละ 2-3 วัน แล้วจะกลับมาหมอบอยู่หน้ากุฏิท่าน ปฏิบัติอยู่เช่นนี้เป็นประจำ วันหนึ่งกวางเผือกตัวนี้ได้วิ่งเข้ามาหมอบอยู่หน้ากุฏิของท่านด้วยอาการแสดงความหวาดกลัวเหมือนหนีสัตว์ร้ายมา เผอิญสมเด็จเจ้าจอมทองนั่งอยู่หน้ากุฏิ และได้มองไปที่กวางด้วยอำนาจญาณสมาบัติอันสูงส่งของสมเด็จเจ้าจอมทอง จึงทราบได้ทันทีว่ากวางเผือกหนีอะไรมา ท่านจึงได้กล่าวกับพระภิกษุที่นั่งอยู่ในที่นั้นว่า "เจ้ากวางเผือกเกือบจะไปเป็นอาหารของเขาเสียแล้ว" ยังไม่ทันที่จะกล่าวสิ่งใดต่อพลันก็มีคนถือหอกวิ่งเข้ามาข้างหน้ากุฏิทำท่าง้างหอกในมือเตรียมจะทิ่มแทงกวางเผือกซึ่งหมอบอยู่ใกล้ๆ ท่าน สมเด็จเจ้าจอมทองจึงตวาดออกไปดังกังวานว่า "หยุดเดี๋ยวนี้เจ้ามนุษย์ไม่มีศีลมีธรรม จะฆ่าสัตว์แม้แต่ในเขตวัดไม่เว้น เคยเบียดเบียนแต่สัตว์ต่อนี้ไปสัตว์จะเบียดเบียนเจ้าบ้างล่ะ" ชายผู้ถือหอกถึงกับหยุดชะงักนิ่ง และเมื่อสิ้นคำพูดของสมเด็จเจ้าจอมทอง ชายผู้นั้นก็ร้องลั่นสลัดหอกในมือทิ้ง แล้วร้องขึ้นมาว่า "งู งู ฉันกลัวแล้วงู" เพราะเห็นหอกที่ตัวเองถือเป็นงู จากนั้นจึงวิ่งหนีออกจากวัดไปพร้อมส่งเสียงร้องลั่นด้วยความกลัวงู แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปทางไหนก็เห็นงูไล่ล่าเขาอยู่ตลอด ผู้ที่เล่าเรื่องนี้กล่าวว่า ชายผู้นี้ต้องวิ่งไปเรื่อยๆ หยุดนิ่งเมื่อใดจะเห็นงูไล่ล่าตัวเองอยู่ตลอด ยังมีกาเผือกอีก 2 ตัว ที่อาศัยเกาะต้นไม้อยู่หน้ากุฏิสมเด็จเจ้าจอมทองเป็นประจำ อาศัยกินข้าวก้นบาตรที่ท่านโปรยให้ทุกวัน สมเด็จเจ้าจอมทองเคยเอ่ยถึงกาทั้ง 2 ตัวนี้ว่า "เป็นสัตว์ที่ประเสริฐไม่กินเนื้อสัตว์หรือสิ่งมีชีวิต" มีพระลูกวัดเคยโยนเศษเนื้อสัตว์จากอาหารที่ญาติโยมใส่บาตรให้กาทั้ง 2 แต่ก็หาได้กินไม่ กลับเลือกกินแต่เฉพาะเม็ดข้าวสุกเท่านั้นอยู่มาวันหนึ่งกาเผือกทั้ง 2 บินลงมาเกาะใกล้ๆ กับที่สมเด็จเจ้าจอมทองนั่ง แล้วส่งเสียงร้องลั่นกุฏิอยู่เป็นเวลานาน สมเด็จเจ้าจอมทองก็นั่งนิ่งสงบฟังเสียงกาทั้ง 2 อย่างตั้งใจ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับพระภิกษุลูกวัดที่อยู่บนกุฏิท่านว่า "กาเผือกเขามาร่ำลา ถึงเวลาที่เขาจะต้องบินกลับไปในป่าแล้ว จะไม่กลับมาอีก เจ้ากาตัวเมียจะไปวางไข่อีกไม่นานเขาคงจะต้องตาย คงไม่ได้มาเขาอ้ออีก เขาจะมาเขาอ้ออีกก็คงชาติต่อไป เขาจะต้องมาแน่"ต่อเมื่อกาเผือกทั้ง 2 ได้รับศีลรับพรจากสมเด็จเจ้าจอมทองแล้ว ได้บินทักษิณารัตนะรอบกุฏิแล้วบินมุ่งเข้าป่าไป จากนั้นไม่มีใครพบเห็นกาเผือกทั้ง 2 อีกเลยกล่าวสำหรับอดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อที่พอสืบค้นประวัติได้บ้าง นับแต่สมัยพระครูสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (ทองเฒ่า) แต่จะเป็นเจ้าอาวาสเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานชาวบ้านนิยมเรียกท่านว่า "พ่อท่านเขาอ้อ"เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลังทางวิทยาคมไสยศาสตร์ และแพทย์แผนโบราณ จนเป็นที่เคารพนับถือยำเกรงของคนทั่วไป
กล่าวว่าตรงศีรษะของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) มีเส้นผมสีขาวซึ่งไม่สามารถโกนหรือตัดขาดได้น่าเสียดายว่าอัตโนประวัติของพระครูสังฆสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) สืบค้นได้จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังจะพอจดจำกันได้บ้างว่า พื้นเพของท่านเป็นชาวบ้านสำนักกอ ตำบลปันแต อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง บิดานั้นไม่ทราบชื่อ ส่วนมารดาชื่อ นางรอด ตัวของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) เป็นพี่คนโต และมีน้อง 2 คน เป็นชายและหญิง ครอบครัวมีอาชีพทำนาในการอุปสมบทจะเป็นเมื่อใด ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ตลอดจนพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ หาทราบไม่ แต่มีเรื่องเล่ากันว่า ก่อนที่ท่านจะบวชได้ล้มป่วยมีอาการหนักมาก จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานบนบานศาลกล่าวว่า หากหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยจะบวชเป็นการถวายแก้บน หลังจากนั้นไม่นานอาการป่วยไข้ก็ทุเลาเบาบาง และหายไปในที่สุดอย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งต่อมาได้อุปสมบทตามที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ และได้ศึกษาวิชากับพระอาจารย์เอียดเหาะได้ วัดดอนศาลา ซึ่งเป็นศิษย์สายสำนักวัดเขาอ้อ เป็นที่กล่าวขานถึงวิชาพุทธาคมของพระอาจารย์เอียดเหาะได้ว่า เหตุที่ท่านมีสมญานามเช่นนั้นสืบเนื่องมาจาก ทุกวันพระ 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ พระอาจารย์เอียดเหาะได้ จะเหาะไปบำเพ็ญภาวนาในถ้ำที่วัดเขาอ้อเป็นประจำ ชาวบ้านหลายคนได้พบเห็นเป็นประจักษ์ต่อสายตา จึงได้ขนานนามท่านว่า "พระอาจารย์เอียดเหาะได้"กล่าวสำหรับพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) ได้ชื่อว่ามีตบะบารมีสูงส่งทีเดียว ถึงกับเคยตวาดคนทีเดียวจนเป็นบ้า และเป็นผู้ที่เข้มงวดกวดขันกับบรรดาลูกศิษย์เป็นอย่างยิ่ง หากพบเห็นว่าทำสิ่งใดไม่ถูกต้องก็จะตำหนิตักเตือน ทั้งนี้ก็ด้วยความปรารถนาดีที่อยากให้ศิษย์ของท่านได้ดีในวิชาความรู้ในส่วนของมารดาของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้บวชชีที่วัดเขาอ้อ โดยพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) ได้ปลูกกุฏิให้พำนักอยู่ใกล้ๆ กับกุฏิของท่าน เพื่อจะสะดวกในการปรนนิบัติตามหน้าที่ของบุตรผู้กตัญญูตราบจนสิ้นอายุขัยสมณศักดิ์ที่ "พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต" เจ้าคณะตำบลมะกอกเหนือ ได้รับพระราชทานในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วยพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ได้มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2470 ขณะอายุได้ 78 ปีสิ่งหนึ่งที่เหลือไว้สำหรับให้รำลึกถึง คือ วัตถุมงคลที่พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ได้สร้างขึ้น นอกเหนือจากพิธีกรรมของสำนักวัดเขาอ้อ คือ พิธีอาบว่านแช่ยา พิธีหุงข้าวเหนียว พิธีป้อนน้ำมันงา ซึ่งในสมัยท่านเป็นพิธีกรรมที่เข้มขลังเป็นอย่างยิ่งวัตถุมงคลที่สร้างมีหลายชนิดทั้ง มีดหมอ ตะกรุด ผ้ายันต์ ลูกไม้มงคล และพระปิดตาพระอาจารย์ทองเฒ่าพระปิดตาของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) พระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา ที่พบเห็นจะเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ และเนื้อตะกั่วผสมดีบุก

ประวัติ หลวงพ่อแสง ธัมมสโร วัดในเตา


หลวงพ่อแสง วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์


หลวงพ่อแสง ธัมมสโร หรือ พ่อท่านแสงเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังเมืองตรัง แห่ง วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ (วัดในเตา) อ.ห้วยยอด จ.ตรัง มีเมตตาธรรมสูง มักน้อย ถือสันโดษ มีพลังจิตที่เข้มขลังอาคมที่แก่กล้า นามของท่านจึงขจรขจายไปไกลทั่วภาคใต้ ประวัติพ่อท่านแสง วัดในเตาพ่อท่านแสง: ชาติภูมิ หลวงปู่แสง ถือกำเนิดในสกุล บุญช่วย เมื่อปี พ.ศ.2450 โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายแดงและนางเอียด บุญช่วย บ้านเดิมอยู่ในแถบบ้านป่าเทือกเขาบรรทัด บ้านในเตา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ต่อมาเมื่อ พ่อท่านแสงอายุได้ 11 ขวบ ด.ช.แสง ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบางทองคำ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช โดยมี หลวงปู่ทองดำ(ศุข) สุวัณโณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีวิทยาคม และยังเล่ากันว่าสามารถล่องหนหายตัวได้

หลังจากบวชแล้ว หลวงปู่แสงได้ถือธุดงควัตรตามหลวงปู่ทองดำ ตลอดมา รวมทั้งยังเดินธุดงค์ร่วมกับ หลวงปู่เขียว อินทสุวัณโณ วัดหรงบน พร้อมกันนี้ ยังได้เดินธุดงค์มาขอศึกษาวิชาอาคม สมถกรรมฐาน และขอคัดลอกตำราจากพระครูอรรถธรรมรส หรือ หลวงปู่ซัง วัดวัวหลุง ผู้เป็นเจ้าของเหรียญอันดับ 1 แห่งแดนทักษิณ กระทั่งอายุครบตามเกณฑ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดวัวหลุง โดยมี หลวงปู่ซัง เป็นพระอุปัชฌาย์ และ หลวงปู่ทองดำ เป็นพระกรรมวาจารย์
เหรียญหลวงพ่อแสง วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ (วัดในเตา)
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2479 หลวงปู่ซัง และ หลวงปู่ทองดำ ได้ละสังขารเป็นเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้ หลวงพ่อแสง เศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก ด้วยเหตุที่ขาดที่พึ่งและยังปลงไม่ตก จึงได้เดินธุดงค์ตามป่าเขาจนชีวิตแทบดับสูญ จนพ่อแม่พี่น้องต้องขอร้องให้ท่านสึกเพื่อรักษาตัวอย่างไรก็ตาม ขณะนั้นแม้จะเป็นฆราวาสทั่วไปแล้ว ท่านก็ยังไม่ทิ้งวิชาคาถาอาคมและสมุนไพรใบยา โดยได้ใช้สรรพวิชาเป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านแถบนั้นตลอดมา จนมีเรื่อง เล่าว่า ครั้งหนึ่งพวกโจรป่าคิดที่จะปล้นบ้านของท่าน ขณะที่ได้เข้าล้อมบ้านอยู่นั้น ก็ได้บังเกิดน้ำป่าไหลมาจากทุกทิศทางมาท่วมหมู่โจรทั้ง 11 คน ซึ่งต่างก็ร้องขอชีวิตและสัญญาว่าจะเลิกเป็นโจร หลังจากนั้นไม่นานน้ำป่าอันเชี่ยวกรากก็หายวับไปกับตาต่อมาเมื่ออายุได้ 59 ปี ท่านเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายทางโลก จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้งหนึ่ง และได้ร่วมธุดงค์กับหลวงปู่เอียด ธัมมปาโล วัดหนองช้างแล่น อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งเป็นพระสงฆ์เรืองอิทธิฤทธิ์อันอเนกอนันต์ และท่านยังได้มาศึกษาสรรพวิชาไสยเวทวิทยาคม จาก พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต ปรมาจารย์ทองเฒ่า แห่งสำนักเขาอ้อ จ.พัทลุง นอกจากนี้ ยังมี เจ้าอธิการเรือง แห่งวัดป่าพยอม จ.พัทลุง, หลวงปู่หวาน แห่งวัดบ้านนา จ.พัทลุง, พระบริสุทธิ์ศีลาจารย์ (วัน มะนะโส) แห่งวัดประสิทธิชัย จ.ตรัง หลวงพ่อแสง ธัมมสโรท่านก็ยังได้เดินทางไปศึกษาสรรพวิชา ไสยเวทวิทยาต่างๆ ที่วัดเขาอ้อ จ.พัทลุง กับ หลวงปู่เล็ก ปุญญโก แห่งวัดประดู่เรียง จ.พัทลุง และ พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม วัดดอนศาลา จ.พัทลุง หลวงปู่แสง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวพุทธ ทั้งในพื้นที่จังหวัดตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช กระบี่ ภูเก็ต สงขลา ตลอดจนชาวมาเลเซีย และสิงคโปร์ จวบจนถึง พ.ศ.2536 ท่านก็มีอาการอาพาธเนื่องจากโรคชรา และต้องเหน็ดเหนื่อยจากการรับแขกจากทุกทิศ หลวงปู่แสง ยังได้จัดสร้าง พระเครื่องวัตถุมงคลหลายรุ่น เหรียญหลวงพ่อแสงที่ล้วนมีประสบการณ์ลือลั่นอย่างกว้างขวาง หลังจากนั้นเพียง 2 ปี พ่อท่านแสงด้วยสภาพสังขารที่ร่วงโรย หลวงพ่อแสง ธัมมสโร วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ (วัดในเตา)ได้มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อปี พ.ศ.2538 นำความโศกเศร้าแก่ญาติโยมและศิษยานุศิษย์โดยทั่วกันอย่างไรก็ตาม ในห้วงเวลาที่ หลวงพ่อแสงยังมีชีวิตอยู่ มีเรื่องเล่ากล่าวขวัญเกี่ยวกับอภินิหารต่างๆ มากมาย เช่น ชาวบ้านในชุมชนบ้านในเตา จะทราบดีว่า หากมีฝนตกลงมาในขณะเวลาที่ท่านกำลังเดินบิณฑบาต แม้ฝนจะตกหนักหนาสักแค่ไหน หลวงพ่อแสง ก็ไม่เคยเปียกฝน ทั้งๆ ที่ไม่ได้กางร่ม หรือหยุดหลบฝน ณ สถานที่ใดเลย

แม้หลวงปู่แสงจะมรณภาพไปนานแล้ว แต่นาม "หลวงปู่แสง ธัมมสโร" ยังอยู่ในศรัทธาของพุทธศาสนิกชนตราบจนปัจจุบัน

ประวัติ พ่อท่านนวล ปริสุทโธ วัดไสหร้า (วัดประดิษฐาราม)




ประวัติ พ่อท่านนวล ปริสุทโธ วัดไสหร้า (วัดประดิษฐาราม)
พ่อท่านนวล ปริสุทโธ วัดไสหร้า
ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อนวล ปริสุทโธ วัดประดิษฐาราม (วัดไสหร้า) ต.บางรูป อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ประวัติ หลวงพ่อนวล วัดไสหร้า(วัดประดิษฐาราม)
ประวัติพ่อท่านนวล ปริสุทโธ วัดไสหร้า(วัดประดิษฐาราม)พระครูวิสุทธิบุญดิตถ์” หรือ “หลวงพ่อนวล ปริสุทโธ” หรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า “พ่อท่านนวล” เป็นพระสุปฏิปันโนนักปฏิบัติกัมมัฏฐาน ที่เพียบพร้อมด้วยจริยวัตรอันงดงาม และเป็นพระบริสุทธิสงฆ์ที่ยึดหลักพระธรรมวินัยตามคำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติกิจของสงฆ์เป็นกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอ ไม่เว้นแม้ยามเจ็บไข้ได้ป่วย จนเป็นที่เลื่องลือและเป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสในหมู่ชาวบ้านญาติโยมแดนปักษ์ใต้เป็นอันมาก
google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);
พ่อท่านนวล มีนามเดิมว่า นวล เจริญรูป เกิดเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๕ ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ ณ บ้านไสหร้า หมู่ ๔ ต.ทุ่งสัง (หมู่ ๑ ต.บางรูป ในปัจจุบัน) อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายเกลื่อน และนิ่ม เจริญรูป มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๒ คน และมีพี่น้องร่วมบิดาแต่ต่างมารดา อีก ๔ คน
หลวงพ่อนวล ปริสุทโธ”ปัจจุบันสิริอายุ ๘๓ พรรษา ๖๓ (เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดประดิษฐาราม (วัดไสหร้า) บ้านไสหร้า ต.บางรูป อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ทำให้ชาว อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ต่างมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่มีพ่อท่านนวล เป็นเนื้อนาบุญของชาวเมืองอย่างแท้จริงด้านวัตถุมงคล พ่อท่านนวล ได้จัดสร้างพระเครื่องวัตถุมงคลไว้หลายรุ่นด้วยกัน อาทิ วัตถุมงคลรุ่นล่าสุด สร้างปี 2552 ผ่านพิธีปลุกเสกสมบูรณ์ พร้อมเปิดให้บูชา กำลังได้รับความนิยมในหมู่ลูกศิษย์ลูกหา รูปเหมือนพ่อท่านนวล ขนาดบูชาเนื้อโลหะหน้าตัก 5 นิ้ว รูปหล่อลอยองค์เบ้าทุบ และเหรียญพ่อท่านนวลเจริญโภคทรัพย์ เป็นต้น
๏ ชีวิตปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้นของ พ่อท่านนวล ปริสุทโธ วัดไสหร้า
ชีวิตในวัยเด็ก พ่อท่านนวลเป็นคนชอบสนุกสนาน แต่ขี้อาย มีความประพฤติเรียบร้อย สมถะ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นที่รักของครอบครัวและเพื่อนฝูง เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดมะเฟือง ต.นากะซะ อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๙
๏ การอุปสมบท
พระครูวิสุทธิ์บุญดิตถ์ พ่อท่านนวล ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๕ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ ณ พัทธสีมาวัดภูเขาหลัก (วัดหลวงพ่อแดง พระเกจิอาจารย์ชื่อดังในสมัยก่อน) ต.ทุ่งสัง อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช โดยมีพระครูถาวรบุญรัตน์ วัดท่ายาง อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระอุปัชฌาย์
๏ งานด้านการศึกษาของ พ่อท่านนวล วัดไสหร้า
ปี พ.ศ.๒๔๙๒ พ่อท่านนวล สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท ณ สำนักเรียนวัดประดิษฐาราม
ปี พ.ศ.๒๔๗๓ พ่อท่านนวล เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม
ปี พ.ศ.๒๔๙๘ เป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง
ปี พ.ศ.๒๕๐๓ หลวงพ่อนวล เป็นกรรมการศึกษาโรงเรียนวัดประดิษฐาราม
ปี พ.ศ.๒๕๐๔ หลวงพ่อนวล รักษาการแทนสาธารณูปการ อ.ทุ่งใหญ่ และเป็นกรรมการการศึกษาประจำตำบลทุ่งสัง
๏ หลวงพ่อนวล กับงานด้านการอุปถัมภ์การศึกษา
หลวงพ่อนวล ท่านได้เริ่มก่อตั้งโรงเรียนวัดประดิษฐาราม เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ โดยได้บริจาคที่ดินของวัด ๑๒ ไร่ เป็นที่ตั้งโรงเรียน ต่อมาได้ก่อตั้งกองทุนพ่อท่านนวล ปริสุทโธ เพื่อเป็นทุนการศึกษาสำหรับเด็กนักเรียนที่เรียนดี ความประพฤติเรียบร้อย แต่มีฐานะยากจน หลายกองทุน และยังนำมาเป็นทุนการศึกษาให้กับพระภิกษุสามเณร ที่ศึกษาพระธรรมในสถาบันศาสนาทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด
พระครูวิสุทธิ์บุญดิตถ์ หลวงพ่อนวล ปริสุทโธ และ งานด้านการพัฒนา
หลวงพ่อนวล ท่านได้ดำเนินการก่อสร้างและพัฒนา หลวงพ่อนวล นำความเจริญมาสู่ชุมชนตลอดมาในทุกๆ ด้าน ด้วยความเมตตาของท่าน
๏ ลำดับงานปกครองและสมณศักดิ์ พ่อท่านนวล วัดไสหร้า
ปี พ.ศ.๒๔๙๒ หลวงพ่อนวล ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดประดิษฐาราม (วัดไสหร้า) ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
ปี พ.ศ.๒๕๐๘ พ่อท่านนวล ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลทุ่งสัง
ปี พ.ศ.๒๕๐๕ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูวิสุทธิบุญดิตถ์
ปี พ.ศ.๒๕๑๘ หลวงพ่อนวล ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
ปี พ.ศ.๒๕๒๖ พ่อท่านนวล ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในพระราชทินนามเดิม


ต้นเหตุแห่งหนี้ของทุกคน คำสอน หลวงพ่อนวล วัดไสหร้าพระครูวิสุทธิบุญดิตถ์ (พ่อท่านนวล ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดประดิษฐาราม (วัดไสหร้า) ต.บางรูป อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ยึดมั่นในหลักธรรมของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด มีจริยวัตรที่งดงาม ปฏิบัติกิจของพระสงฆ์เป็นกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอ ไม่ละเว้นแม้ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ยกเว้นในยามที่ลุกเดินไปไหนไม่ได้ พร้อมทั้งเคร่งในระเบียบกฎเกณฑ์ในการบรรพชาอุปสมบท จะต้องเลิกดื่มสุรา เลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด แล้ว"หลวงพ่อนวล"ท่านยังให้สติว่า “คนเราเกิดมา ล้วนมีหนี้ติดมาด้วยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหนี้สิน หนี้บุญคุณ และหนี้ชีวิต” "หลวงพ่อนวล"ท่านได้ปฏิบัติเพื่อเปลื้องหนี้ตลอดมา โดยเฉพาะหนี้ชีวิต พ่อท่านนวล จึงมีชีวิตที่สงบเพราะท่านอยู่อย่างใจสงบ กายวาจาสงบ ซึ่งปรากฏแก่เราทุกคนที่พบเห็นและสัมผัส แม้ว่า"พ่อท่านนวล"จะอยู่ในเพศบรรพชิตอย่างสันโดษแล้ว ท่านยังเป็นผู้เริ่มก่อตั้งโรงเรียนวัดประดิษฐาราม ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๑ โดยได้รับบริจาคที่ดิน ๑๒ ไร่ จนมาถึงปัจจุบัน แล้วได้ตั้งกองทุนพ่อท่านนวลขึ้น เพื่อเป็นกองทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนโรงเรียนวัดประดิษฐารามที่มีผลการเรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย แต่มีฐานะยากจน พ่อท่านนวลได้อนุญาตให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวพระเครื่อง “คม ชัด ลึก” ดังนี้ หนี้ติดตัวที่พ่อท่านพูดถึงคืออะไรครับ ? หนี้ที่อาตมาสอนญาติโยมมาตลอดก็จะมีอยู่ ๓ หนี้ คือ หนี้สิน หนี้บุญคุณ และหนี้ชีวิต ดังนั้นคนเราเมื่อมีชีวิตอยู่ควรรีบเปลื้องหนี้เสียตามโอกาสและความสามารถ ประเภทที่ ๑ คือ หนี้สิน ทำไมคนเราจึงต้องมีหนี้สิน เรื่องนี้หากจะประมวลที่มาของหนี้สิน ก็คงเป็นได้ ๒ อย่างคือ หนี้ชนิดที่จำเป็นอย่างหนึ่ง กับหนี้ชนิดที่ไม่จำเป็นอีกอย่างหนึ่ง หนี้ชนิดที่จำเป็นนั้นเกิดจากความยากจนบีบบังคับ เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บบ้าง สมบัติวิบัติเพราะไฟไหม้บ้าง น้ำท่วมบ้าง จึงจำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินเขามาใช้ อีกอย่างหนึ่งเป็นหนี้ไม่จำเป็น อันเกิดจากความมักใหญ่ใฝ่สูงของตัวเอง เช่น กู้เขามาทำงานบุญ ทำงานบวชลูกบ้าง ซึ่งทุนเดิมก็มีพอที่จะทำให้สมฐานะ แต่เห็นว่าน้อยไป อยากได้ชื่อเสียง อยากมีหน้าตาถึงกับต้องจำนำเรือกสวนไร่นา ผลสุดท้ายต้องนั่งเป็นทุกข์ไปตลอดปี เพราะต้องใช้หนี้เขาอยู่ตลอดเวลา หนี้สินอีกอย่างเกิดจากความจน เพราะการกระทำของตัวเอง เนื่องจากเกียจคร้านทำมาหากินบ้าง ไม่เข้าใจรักษาสมบัติบ้าง คบคนชั่วเป็นมิตรบ้าง ใช้จ่ายเกินตัว คนประเภทนี้รับรองว่าตั้งตัวได้ยาก แล้วทำอย่างไรถึงไม่ให้เราเป็นหนี้มากมายแบบนั้นครับ ? หากถามว่าทำอย่างไรจึงไม่เป็นหนี้ เรื่องนี้มันต้องแก้ด้วยพุทธวิธี คือ ขั้นแรกต้องป้องกันอย่าให้ยากจน ซึ่งเริ่มด้วยการขยันทำมาหากิน ระวังเรื่องการใช้จ่าย อย่าสุรุ่ยสุร่าย อย่าเล่นการพนัน อย่าเสพสุราเมรัย เสพยาเสพติดทุกชนิด ดังนี้จะทำอะไรให้นึกถึงฐานะตัวเอง แต่ว่าในกรณี ความยากจนอาจจะเกิดขึ้นได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือจะด้วยเหตุใดก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องใช้แผนการขั้นที่ ๒ คือ รีบใช้หนี้สินโดยเร็ว เพราะถ้าขืนปล่อยทิ้งไว้จะเป็นดินพอกหางหมู จะลำบากทีหลัง เหมือนเป็นโรคนิดๆ หน่อยๆ อย่าปล่อยทิ้งไว้ จงรีบรักษาเสียทันที หลวงพ่อนวล กล่าวหนี้ประเภทที่สอง เป็นอย่างไรครับ ? หนี้ประเภทที่สองนั้นได้แก่ หนี้บุญ นั่นหมายความว่า เมื่อผู้ใดมีบุญคุณแก่เรา จะด้วยการช่วยเหลือเลี้ยงดู หรือด้วยเหตุใดก็ตาม ผู้รับนั้นได้ชื่อว่ามีหนี้ ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้หนี้นั้นเสียในโอกาสอันควร ตัวอย่าง พ่อแม่ซึ่งเป็นบุคคลที่มีบุญคุณต่อลูกมาก ท่านทั้งสองให้สิ่งที่มีค่าที่คนอื่นไม่สามารถให้ได้ นั่นคือชีวิตและร่างกาย ที่เราได้อาศัยใช้อยู่ทุกวันนี้ ชีวิตและร่างกายที่ท่านให้มานี้แหละ ที่ทำให้เรามีโอกาสได้มาชมโลกนี้กับเขา พร้อมทั้งมีทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง ยศศักดิ์ และความสุข ใช่แต่เท่านั้น ท่านยังได้ให้ความรักแก่ลูกอย่างไม่หวั่นไหว ซึ่งเป็นความรักพิเศษที่จะหาไม่ได้จากคนอื่น ท่านเป็นพระประจำตัวลูกในฐานะพระบิดาและพระมารดา ด้วยประการฉะนี้ ลูกทุกคนจึงได้ชื่อว่าเป็นหนี้ท่านอยู่ ควรหาโอกาสใช้หนี้ท่านเสีย มิฉะนั้น จะถูกหาว่าเป็นคนตระบัดหนี้ ทำให้เสียผู้เสียคนเปล่าๆ นอกจากการใช้หนี้บุญนี้แล้ว ยังมีการชดใช้หนี้ในลักษณะอื่นอีกไหมครับ ? อาตมาอยากจะบอกว่า การใช้หนี้มีหลายวิธีด้วยกัน ขอยกมาแสดงเพียงหนึ่งวิธีก็แล้วกัน คือ การเลี้ยงดูท่าน ตามหลักการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า เมื่อท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เราต้องเลี้ยงท่านตอบ การเลี้ยงนั้นต้องเลี้ยงทั้งทางกายและทางจิตใจ การบำรุงท่านด้วยข้าวปลาอาหารที่อยู่อาศัย ตลอดจนถึงการรักษาพยาบาล เมื่อยามท่านเจ็บป่วยไข้ไม่สบายนี้ เรียกว่าการเลี้ยงทางร่างกาย ส่วนด้านจิตใจนั้น ลูกๆ ต้องถนอมน้ำใจของท่านไว้ เมื่อท่านต้องการสิ่งใดซึ่งไม่ผิดศีลธรรมแล้ว ก็ต้องตามใจท่าน ขอให้ย้อนคิดถึงสมัยที่ท่านเลี้ยงเรามา ท่านยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อลูกอย่างสม่ำเสมอ แม้แต่ชีวิตเลือดเนื้อพ่อแม่ก็สละให้ได้ ไม่มีใครดอกในโลกนี้ที่เขาจะมานั่งเสียสละให้แก่เรา เหมือนกับพ่อแม่นั้นไม่มี พ่อท่านช่วยอธิบายถึงหนี้ชีวิตให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยครับ ? ทุกคนได้ชื่อว่าเป็นหนี้ชีวิต เพราะเกิดมาแสนยาก ฉะนั้นตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังชื่อว่าเป็นหนี้อยู่ตราบนั้น การชำระหนี้ชีวิตที่ทุกคนต้องทำ คือ การทำชีวิตให้เป็นประโยชน์ ซึ่งมีทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน กล่าวคือ ฝ่ายนอกต้องจัดระบบชีวิตร่างกายให้อยู่กินดีอยู่ดี หมายถึงที่อยู่อาศัย สะอาดเรียบร้อย เหมาะแก่การศึกษา และอาชีพอยู่ใกล้กับคนดี ส่วนกินดีนั้นหมายถึง รู้จักใช้พอเหมาะพอดี สมฐานะ เพราะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะช่วยชุบชีวิตให้เจริญก้าวหน้า ส่วนฝ่ายในนั้นอันได้แก่จิตใจ ต้องบำรุงส่งเสริมด้วยศีลธรรมทางศาสนา เพราะศีลเป็นเครื่องขจัดสิ่งที่เสีย ธรรมะเป็นเครื่องเสริมสวย ในตัวเราแต่ละคนล้วนมีสิ่งเสียๆ อยู่มาก หากจะประมวลกล่าวย่อๆ สามารถจัดเป็นข้อใหญ่ๆ ได้ ๕ อย่างคือ ๑. โหดร้าย ๒. ใจอยาก ๓. มากรัก ๔. ปากชั่ว ๕. มัวเมา ซึ่งแต่ละอย่างเมื่อเกิดขึ้นแล้ว สามารถทำให้คนเสียคนได้ทั้งนั้น ๕ หัวข้อนี้เหมือนกับการถือศีล ๕ หรือเปล่าครับ ? ไม่แตกต่างกันหรอกโยม ๑. โหดร้าย แสดงถึงจิตใจทารุณ เหี้ยมโหดร้าย ขาดเมตตากรุณา ฆ่ากัน ทำร้ายกัน ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ก่อความยุ่งยากให้แก่ตนเองและผู้อื่น ฉะนั้นความทารุณโหดร้าย จึงสามารถกำจัดได้ด้วยศีลข้อ ๑ เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ส่วนประเภทที่ ๒ ใจอยาก นี้ก็ไม่ดีอีก เพราะเป็นต้นเหตุให้มีอาชีพที่ไม่บริสุทธิ์ เช่น ลักเขากินขโมยเขากิน ก่อความเดือดร้อน ฉะนั้นจึงควรกำจัดเสียด้วยศีลข้อ ๒ เว้นจากการยึดกรรมสิทธิ์ในสมบัติของผู้อื่นที่เขาไม่อนุญาต ประเภทที่ ๓ มากรัก คือ มีรักมากเกินขอบเขต จนเป็นสาเหตุให้ผิดในคู่ครองของผู้อื่น ถึงขั้นประหัตประหารซึ่งกันและกัน ดังนั้น จึงควรแก้เสียด้วยศีลข้อ ๓ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ประเภทที่ ๔ การพูดเท็จ พูดยุยงให้เขาแตกแยกกัน พูดจาหยาบคายเหลวไหล ไร้สาระทั้งนั้น จึงต้องแก้ด้วยการรักษาศีลข้อที่ ๔ เว้นจากการพูดมุสา และ ประเภทที่ ๕ มัวเมา ชอบสุราเมรัยและยาเสพติด จนปราศจากสติสัมปชัญญะ ควรแก้ด้วยศีลข้อที่ ๕ เว้นจากการเสพสุราเมรัย เมื่อได้ลงมือรักษาศีลทั้ง ๕ ข้อนี้แล้ว ความเสียทั้ง ๕ อย่างก็จะหมดไป หากคนเรายึดมั่นในศีล ๕ แล้วจะดีแค่ไหนครับ ? คนเราลงได้มั่นคงอยู่ในศีลธรรมอย่างนี้แล้ว จิตใจจะสดชื่น กายวาจาก็จะทำจะพูดแต่ในทางที่ดี ผลก็คือได้รับความสุขสมประสงค์ ตรงกับที่ท่านว่าได้ว่า กายมีศีลสุขล้ำ ใจมีธรรมสุขเลิศ การปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมเช่นนี้แหละ ที่เรียกว่าได้ใช้หนี้ชีวิตอย่างแท้จริง พ่อท่านได้สร้างวัตถุมงคลบ่อยไหมครับ ? อาตมาเองไม่ได้สร้างวัตถุมงคลอะไรหรอก จะมีก็ลูกศิษย์เท่านั้นที่สร้างแล้วนำมาถวาย อาตมาก็จะปลุกเสกด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ให้ก็เท่านี้แหละ เพื่อเอาไว้แจกเป็นที่ระลึกให้กับญาติโยมที่เดินทางมาทำบุญกันที่วัดเท่านั้น ทางวัดไม่ได้เน้นเรื่องการสร้างวัตถุมงคลเป็นหลัก แต่จะเน้นเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้ามากกว่า ปาฏิหาริย์จากพระเครื่องแท้จริงเกิดขึ้นมาเพราะอะไรครับ ? พระเครื่อง:ตรงนี้อาตมาอยากจะบอกว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ที่คนนำไปใช้มากกว่า คนที่อยากให้เป็นอะไรก็จะเป็นไปตามพลังศรัทธา ส่วนหลายคนอยากได้ความคงกระพันชาตรี ก็อยู่ที่นำเอาไปใช้เหมือนกัน คิดดีทำดี สิ่งเหล่านี้มันก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ปาฏิหาริย์บางอย่างก็บอกไม่ได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร จะว่าไปแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละคนมากกว่า ทำไมพ่อท่านตั้งกฎเกณฑ์ผู้ที่จะเข้ามาบวชอย่างเคร่งครัดครับ ? อาตมาอยากให้พระสงฆ์มีจริยวัตรที่งดงาม ยึดหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยผู้ที่จะเข้ามาบวชต้องมีผู้ปกครองรับรอง หรือผู้ที่ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ติดสิ่งเสพติดอื่นๆ ต้องเลิกโดยเด็ดขาด ขณะเดียวกันผู้ที่เข้ามาบวชเพื่อจำพรรษา ต้องสมัครเป็นนักบวชตามวันเวลาที่กำหนด หากพ้นกำหนดแม้วันเดียวก็ไม่ได้ และผู้ที่จะมาบวชชั่วคราวต้องสมัครเป็นนักบวชล่วงหน้าอย่างน้อย ๑๕ วัน เพื่อท่องเรียนคำขอบรรพชา สุดท้ายนี้พ่อท่านอยากให้ธรรมะหรือข้อคิดอะไรแก่ญาติโยมบ้างครับ ? ตราบใดที่ยังมีเกิด ก็จะหนีหนี้ไม่พ้น แต่ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว เพราะทางพ้นหนี้ยังมีอยู่ นั่นคือพระนิพพาน เมื่อปฏิบัติถึงขั้นนั้นแล้วเรียกว่าหมดหนี้ทันที เลิกสร้างดี เลิกสร้างชั่ว เป็นปุญญปาปหิโน บรรดาหนี้สินก็หมดสิ้นไปในตัว สำเร็จเป็นนิพพาน ปรมํ สุญญํ คือ เป็นบรมสูญ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ โศก หนี้สิน สูญหมด จึงจัดเป็น นิพพานํ ปรมํ สุขํ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกย่อมตกอยู่ในกองทุกข์ การเป็นหนี้เขาก็จัดเป็นทุกข์อย่างหนึ่ง เหตุนี้ผู้หวังพ้นทุกข์จึงต้องพยายามเปลื้องหนี้ทุกชนิดด้วยการหมั่นอบรมจิตประพฤติธรรม
google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);
“อยากมีหน้าตาถึงกับต้องจำนำเรือกสวนไร่นา ผลสุดท้ายต้องนั่งเป็นทุกข์ไปตลอดปี เพราะต้องใช้หนี้เขาอยู่ตลอดเวลา หนี้สินอีกอย่างเกิดจากความจนเพราะการกระทำของตัวเอง เนื่องจากเกียจคร้านทำมาหากิน”เป็นหลักคำสอนของ "หลวงพ่อนวล วัดไสหร้า" ที่เราทุกคนควรทำความเข้าใจและปฏิบัติตาม

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาส เสือรุ่น6 นิยม หูจุด


หลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาส เสือรุ่น6 นิยม หูจุด





เห็นจุดเด่น
ของเสือ หลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาสให้ดู โดยปรกติการปลุกเสกเสือของท่าน ท่านจะปลุกเสกเดี่ยวพร้อมกับร่างทรง หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยทุกครั้ง และที่สำคัญที่สุดคือ ท่านจะปลุกเสกจนเสือทุกองค์เคลื่อนไหวได้ กระโดดได้ เป็นอันเสร็จพิธี ในสมัยโบราณมักจะปลุกเสกกันแบบนี้ แต่หลังยุค พ.ศ.2500 จะไม่เคยได้ยินว่ามีเกจิท่านใดตั้งใจปลุกเสกเครื่องรางของขลังแบบนี้อีก การปลุกเสกแบบนี้ใช้เวลานานและต้องเก่งจริงๆถึงจะทำได้

*****หมายเหตุ***** หลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาส ได้สร้างเสือตามสูตรของหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย แต่หลวงพ่อวงษ์ท่านไม่ทันหลวงพ่อปานนะครับ หลวงพ่อปาน ท่านมรณภาพตั้งแต่ในรัชกาลที่5 นานมากแล้ว เสือหลวงพ่อปาน แท้ๆเล่นหากันหลักแสน แต่หลวงพ่อวงษ์ได้เรียนรู้วิธีการสร้างเสือตามสูตรหลวงพ่อปาน และจะนิมนต์ดวงวิญญาณหลวงพ่อปานให้มาลงทรงร่วมปลุกเสกเสือทุกรุ่น


เสือรุ่นหก สร้างเมื่อปี พ.ศ.2519 จำนวน 37400 องค์ เสือรุ่น4-5 สร้างเป็นเสือหล่อ ที่เหลือตั้งแต่รุ่น1-2-3-6 เป็นเสือปั๊ม รุ่นนี้นอกจากตัวหลวงพ่อวงษ์และร่างทรงหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยแล้ว ท่านเจ้าคุณสมชายเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้เข้าร่วมปลุกเสกด้วย เหมือนดั่งหลวงพ่อวงษ์ท่านรู้เวลามรณภาพของตัวเอง เสือรุ่นนี้สร้างในปริมาณที่มากกว่าทุกรุ่น และเป็นรุ่นที่ประสบการณ์สูงสุดจากผู้นำไปใช้บูชา หลวงพ่อวงษ์ท่านกล่าวไว้ว่า “ตอนปลุกเสกเสือรุ่น 1 นั้น กูเพิ่งจบชั้นประถม แต่เสือรุ่น 6 นั้นกูจบปริญญาแล้ว พวกมึงว่ารุ่นไหนจะดีกว่ากัน” (คัดลอกจากหนังสือวังสปาลานุสรณ์)

เสือ รุ่น6 พิมพ์นิยมคือ หูด้านหนึ่งจะมีเป็นจุดทองแดงเม็ดเล็กๆอยู่ด้านในรูหู และบล็อกนี้ตรงคอจะเป็นรอยขยักแทบทุกองค์ อีกอย่างหนึ่งคือผิวเนื้อทองแดงจะมีรอยราน(ผิวทองแดงไม่เรียบสนิท) บล็อกนี้มีน้อยและหายาก แบบองค์สวยๆ ผิวไฟยังเต็มราคาซื้อเข้าหน้าวัดไปหลักหมื่นนานแล้วครับ หลายปีก่อนยังพอมีให้เห็นบ้าง ปัจจุบันโดนเก็บเข้ารังไปหมด องค์นี้ขาดผิวไฟ และด้านหนึ่งสภาพสึกไปบ้างเล็กน้อย ไม่คมชัด แต่โดยรวมๆถือว่าสภาพ90%ได้ องค์สวยแท้แถมดูง่าย เปิดราคาตามสภาพครั

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
สมัยเด็ก เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยได้ร่วมทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ
วัยหนุ่ม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ขยันขันแข็ง ทำงานอะไร
ทำจริงๆ จังๆ เป็นที่ไว้วางใจของพ่อแม่ในการงานทั้งปวง
คู่ครอง เดิมไม่เคยคิดจะบวช เพราะอยากมีครอบครัว แต่มักมีอุปสรรคให้แคล้วคลาดทุกทีไป
เหตุที่บวช เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี พ่อแม่ขอร้องให้บวชตามประเพณีอยู่หลายครั้ง ท่านก็ทำเฉย ๆ ตลอดมา ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ในครั้งสุดท้ายนี้ ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า หวังพึ่งใบบุญจากการบวชของลูกให้ได้ ถึงกับทำให้พ่อแม่น้ำตาร่วง ครั้งนี้ท่านรู้สึกสะเทือนใจและเห็นใจพ่อแม่มาก จึงตัดสินใจ และยอมบวชตามประเพณี เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ โดยตั้งใจไว้ในตอนต้นนี้ว่า จะบวชเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น
วันบวช ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ วัดโยธานิมิตร อุดรธานี


พระอุปัชฌาย์ ชื่อ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ
เคารพพระวินัย ด้วยเดิมมีนิสัยจริงจัง จึงบวชเพื่อเอาบุญกุศลจริง ๆ และตั้งใจรักษาสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ ่อย่างเคร่งครัด ในพรรษาแรกท่านได้ตั้งสัจอธิษฐานว่า ในการทำวัตรเช้า-เย็นรวมและการบิณฑบาต จะไม่ให้
มีวันใดขาดเลย และท่านก็ทำได้ตามที่ตั้งคำสัตย์ไว้

เรียนปริยัติ เมื่อได้เรียนหนังสือทางธรรม ตั้งแต่นวโกวาท พุทธประวัติ ประวัติพระสาวกอรหันต์ ที่ท่านมาจาก
สกุลต่างๆตั้งแต่พระราชา เศรษฐี พ่อค้า จนถึงประชาชน หลังจากฟังพระพุทธโอวาทแล้วต่างก็เข้าบำเพ็ญเพียร
ในป่าเขาอย่างจริงจัง เดี๋ยวองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในป่า เดี๋ยวองค์นี้สำเร็จในเขา ในเงื้อมผาในที่สงบสงัด ท่านก็เกิดความเชื่อเลื่อมใสขึ้นมา อยากจะเป็นพระอรหันต์ พ้นจากทุกข์ทั้งปวงในชาตินี้อย่างพระสาวกท่านบ้าง
สงสัย ช่วงเรียนปริยัติอยู่นี้ มีความลังเลสงสัยในใจว่า หากท่านดำเนินและปฏิบัติตามพระสาวกเหล่านั้นจะบรรลุ
ถึงจุดที่พระสาวกท่านบรรลุหรือไม่ และบัดนี้จะยังมีมรรคผลนิพพานอยู่ เหมือนในครั้งพุทธกาลหรือไม่

ตั้งสัจจะ
ด้วยความมุ่งมั่นอยากเป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านจึงตั้งสัจจะไว้ว่า จะขอเรียนบาลีให้จบแค่เปรียญ ๓ ประโยคเท่านั้น ส่วนนักธรรมแม้จะไม่จบชั้นก็ไม่เป็นไร จากนั้นจะออกปฏิบัติกรรมฐานโดยถ่ายเดียว จะไม่ยอมศึกษาและสอบประโยคต่อไปเป็นอันขาด
เรียนจบ ท่านสอบได้ทั้งนักธรรมเอก และเปรียญ ๓ ประโยคในปีที่ท่านบวชได้ ๗ พรรษา ณ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ และสถานที่แห่งนี้เอง เป็นที่แรกที่ท่านได้มีโอกาสพบเห็นท่านพระอาจารย์มั่เน ภูริทัตโต ซึ่งต่อมา ได้กลายเป็นพระอาจารย์องค์สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน
ออกปฏิบัติ เมื่อเรียนจบมหาเปรียญแล้ว แม้จะมีพระมหาเถระในกรุงเทพฯ สนับสนุนให้ท่านเรียนต่อในชั้นสูง ๆ ขึ้นไปก็ตาม แต่ด้วยท่านเป็นคนรักคำสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ท่านจึงเข้ากราบลาพระผู้ใหญ่ และออกปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง โดยมุ่งหน้าไปทางป่าเขาแถบจังหวัดนครราชสีมา แล้วเข้าจำพรรษาที่
อำเภอจักราช นับเป็นพรรษาที่ ๘ ของการบวช
พากเพียร ท่านเร่งความเพียรตลอดทั้งพรรษา ไม่ทำการงานอื่นใดทั้งนั้น มีแต่ทำสมาธิภาวนา-เดินจงกรมอย่างเดียวทั้งวันทั้งคืน จนจิตได้รับความสงบจากสมาธิธรรม

มุ่งมั่น
แม้พระเถระผู้ใหญ่ท่านอุตส่าห์เมตตาตามมาสั่งให้กลับเข้าเรียนบาลีต่อที่กรุงเทพฯอีก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ที่จะพ้นทุกข์ให้ได้ภายในชาตินี้ ท่านจึงหาโอกาสปลีกตัวออกปฏิบัติได้อีกวาระหนึ่ง
จิตเสื่อม จากนั้นท่านกลับไปบ้านเกิดของท่าน เพื่อทำกลดไว้ใช้ในการออกวิเวกตามป่าเขาจิตที่เคยสงบร่มเย็น จึงกลับเริ่มเสื่อมลง ๆ เพราะเหตุที่ทำกลดคันนี้นี่เอง
เสาะหา..อาจารย์ เดือนพฤษภาคม ๒๔๘๕ เดินทางไปขออยู่ศึกษากับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เหตุการณ์บังเอิญกุฏิที่พักเพิ่งจะว่างลงพอดี ท่านพระอาจารย์มั่นจึงเมตตารับไว้ และเทศน์สอนตรงกับปัญหาที่เก็บความสงสัยฝังใจมานานให้คลี่คลายไปได้ว่า ดินฟ้าอากาศแร่ธาตุต่างๆ เขาเป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผลนิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจ หากกำหนดจิตจ่อด้วยสติที่ใจแล้ว จะเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งธรรม ทั้งกิเลสในใจ ขณะเดียวกันจะเห็นมรรคผลนิพพานไปโดยลำดับ
ปริยัติ..ไม่เพียงพอ จากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นเมตตาแนะต่อว่า ธรรมที่เรียนมาถึงขั้นมหาเปรียญมากน้อย
เพียงใด ยังไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้ได้ แต่กลับจะเป็นอุปสรรคต่อการภาวนา เพราะอดจะเป็นกังวล
และนำธรรมที่เรียนมานั้น มาเทียบเคียงไม่ได้ในขณะที่ทำใจให้สงบ และยังจะกลายเป็นสัญญาอารมณ์ คาดคะเนไปที่อื่น จนกลายเป็นคนไม่มีหลักได้
ดังนั้น เพื่อให้สะดวกในเวลาทำความสงบหรือจะใช้ปัญญา
คิดค้น ให้ยกธรรมที่เรียนมานั้นขึ้นบูชาไว้ก่อน ต่อเมื่อถึงกาลอันสมควร ธรรมที่เรียนมาทั้งหมด จะวิ่งเข้ามา
ประสานกันกับด้านปฏิบัติ และกลมกลืนกันได้อย่างสนิท

ประวัติ พระครูสุนทรดิตถคณี (นาค โชติพโล) วัดดินดอน









ประวัติ พระครูสุนทรดิตถคณี (นาค โชติพโล) วัดดินดอน


ประวัติ พระครูสุนทรดิตถคณี (นาค โชติพโล) วัดดินดอน
พระครูสุนทรดิตถคณี (นาค โชติพโล) วัดดินดอน
ประวัติพระครูสุนทรดิตถคณี (นาค โชติพโล) วัดดินดอน อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช พระครูสุนทร เดิมท่านมีชื่อว่านาค เกิดเมื่อวันเสาร์ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2420 บ้านบางชัน ตำบลกำแพงเซา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช บิดาชื่อนายศรี มารดาชื่อนางพุ่ง ปู่ของท่านมีศักดิ์เป็นหมื่น ชื่อหมื่นเดช เป็นผู้มีฝีมือทางช่าง และการก่อสร้าง ตลอทั้งการแกะสลักลายไทย จึงได้รับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ส่วนตาของท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นขุน เป็นพราหมณ์ ที่มีความรอบรู้ในฤกษ์พิธีตลอดทั้งพิธีกรรมแต่โบราณ สมัยที่พระครูสุนทรยังเป็นเด็ก นายศรี ซึ่งเป็นบิดาของท่านได้เดินทางมาซื้อวัวควายแถวบ้านดอน จังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นประจำ ได้เกิดความเลื่อมใสต่อเจ้าอาวาสวัดบางกล้วย จึงศรัทธาขอบวชเป็นพระภิกษุจำพรรษาที่วัดบางกล้วย ขณะนั้นท่านพระครูสุนทรมีอายุได้เพียง 5 ขวบ และอาศัยอยู่กับมารดาที่บ้านบางชันกับน้องชายและน้องสาวอีกสองคน พอท่านอายุได้ 6 ขวบ หมื่นศรีซึ่งเป็นปู่ ก็มาพาท่านไปสอนหนังสือที่บ้านออก วัดดินดอน พอเห็นว่า อ่านออกเขียนได้บ้างแล้ว จึงพาท่านไปถวายตัวเป็นศิษย์วัดสระเรียง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อเรียนหนังสือต่อ
ต่อมาเมื่อพระศรี ซึ่งเป็นบิดาของพระครูสุนทรจำพรรษาที่วัดบางกล้วย จังหวัดสุราษฏร์ธานีได้ 3 พรรษาจึงมาจำพรรษาที่วัดสระเรียง ก็ได้อยู่ปรนนิบัติพระศรีในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ ส่วนพระศรีมีความซาบซึ้งในรสพระธรรมก็มิได้คิดจะลาสิกขาอีก จึงได้บวชและศึกษาพระธรรมวินัยต่อไป จนมีความรอบรู้ในพระปริยัติธรรมและพระธรรมวินัยพอสมควร ต่อมาชาวบ้านจึงได้อาราธนามาเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าพระบรมธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเพียงวัดเล็ก ๆ ไม่นานพระศรีก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสมุห์ศรี ฐานานุกรมของพระครูกาแก้ว วัดสวนหลวงออก พระครูสุนทรก็ได้เรียนหนังสือกับพระสมุห์ศรี ตลอดทั้งอักขระสมัยและวิชาการต่าง ๆ จนมีความรู้พอสมควร พอถึง พ.ศ. 2435 ท่านมีอายุได้ 15 ปี ญาติ ๆ จึงพาไปทำพิธีโกนจุกที่วัดขัน แล้วก็บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดขันแห่งนี้ จากนั้นก็ย้ายไปจำพรรษาที่วัดหน้าพระบรมธาตุอยู่กับพระสมุห์ศรีผู้เป็นบิดา บรรพชาเป็นสามเณรได้หนึ่งพรรษาก็ลาสิกขาออกมา
เมื่อถึง ปี พ.ศ. 2436 พระสมุห์ศรีได้เดินทางเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่กรุงเทพ จึงได้พาพระครูสุนทรขึ้นมาด้วย โดยฝากให้พระอาจารย์แผ้ง เป็นผู้ดูแลวัดหน้าพระบรมธาตุแทน รูปเหมือนปั๊ม พระครูสุนทร วัดดินดอน รุ่นแรก เมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้วพระสมุห์ศรีได้จำพรรษาและเรียนอยู่ที่วัดมหาธาตุ ส่วนพระครูสุนทรตอนนั้นอายุได้ 16 ปีได้ไปสมัครเรียนหนังสือแบบใหม่ที่วัดมกุฏิกษัตยาราม แต่เรียนอยู่ได้เพียงปีเดียวก็ลาพระสมุห์ศรีกลับเมืองนครศรีธรรมราช ฝ่ายพระสมุห์ศรีเรียนอยู่ที่วัดมหาธาตุ อยู่ได้ 4 ปี ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
จึงเดินทางกลับนครศรีธรรมราช และเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าพระบรมธาตุเหมือนเดิม เมื่อพระครูกาแก้ว วัดสวนหลวงออกได้ถึงแก่มรณภาพ พระสมุห์ศรีจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูกาแก้ว ส่วนพระครูสุนทรซึ่งขณะนั้นอายุครบบวช จึงเข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่จัดสวนหลวงตก ได้นามฉายาว่า โชติพโล
อุปสมบทแล้วท่านก็มาจำพรรษาที่วัดหน้าพระบรมธาตุกับพระครูกาแก้ว (ศรี) ผู้เป็นโยมบิดา ศึกษาพระธรรมวินัยกับหัดเทศน์มหาชาติจนชำนาญ และมีชื่อเสียงในเมืองนครฯ พอพรรษาที่สาม จึงเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ เมื่อมีความรู้พอสมควรแล้วจึงเดินทางกลับนครศรีธรรมราช โดยจำพรรษาที่วัดหน้าพระบรมธาตุ และได้รับการแต่งตั้งเป็นพระปลัด ฐานานุกรมของพระครูกาแก้ว (ศรี)
ต่อมาในปี 2458 พระใบฏีกาหมุ้น วัดหน้าพระลาน ซึ่งเป็นพระฐานานุกรมของพระครูกาแก้ว (ศรี) ได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดหน้าพระบรมธาตุเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพระครูกา แก้ว (ศรี) ซึ่งชราภาพ รุ่งขึ้นถึงปี พ.ศ. 2459 พระครูกาแก้ว (ศรี) ก็มรณภาพขณะที่มีอายุ 70 ปี เสร็จจากงานพระราชทานเพลิงศพแล้ว พระใบฏีกาหมุ้นได้รับแต่งตั้งเป็นพระปลัด ฐานานุกรมของพระญาณเวที (ลือ) วัดพระเดิม พระสงฆ์ในวัดหน้าพระบรมธาตุรวมทั้งพระครูสุนทร จึงได้พร้อมใจกันนิมนต์พระปลัดหมุ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าพระบรมธาตุ สืบต่อมา ต่อมาพระปลัดหมุ้นได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูกาแก้ว (ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช นับเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดท่านหนึงของภาคใต้ และเป็น 1 ใน 108 พระเกจิอาจารย์ที่มาร่วมลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดราชบพิธ ในปี พ.ศ. 2481 ด้วย) ระหว่างนั้นพระครูสุนทรยังเป็นพระปลัด ท่านได้ช่วยพระครูกาแก้ว (หมุ้น) บริหารการปกครองและการศึกษาอยู่วัดหน้าพระบรมธาตุด้วยอีกหลายปี ราวปี พ.ศ. 2472 พระอุปัชฌาย์เกลี้ยง เจ้าอาวาสวัดดินดอน ได้มรณภาพลง ชาวบ้านละแวกวัดได้เดินทางมานิมนต์พระครูสุนทรซึ่งขณะนั้นเป็นพระปลัดนาค ไปปกครองวัดดินดอน วัดดินดอน
ประวัติวัดดินดอนวัดดินดอนตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าดี อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นวัดที่ตั้งขึ้นมาในสมัยรัตนโกสินทร์ราวแผ่นดินรัชกาลที่ 3 โดยชาวบ้านท่าดีร่วมกันสร้าง เพื่อใช้เป็นสถานที่ ประกอบบุญทางพระศาสนา เจ้าอาวาสและพระสงฆ์วัดดินดอนส่วนมากจึงเป็นบรรพบุรุษของชาวท่าดี และเป็นเครือญาติกัน ในอดีตมีเจ้าอาวาสวัดดินดอนรูปหนึ่งชื่อปาน เป็นพระสงฆ์ที่เชี่ยวชาญวิปัสสนากรรมฐานและวิทยาคม มีพลังจิตและตบะแก่กล้า มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือกันอย่างมาก
เมื่อสมภารปานมรณภาพแล้ว ชาวบ้านที่ศรัทธา ได้สร้างสถูปเพื่อบรรจุอัฐิไว้เป็นที่สักการะบูชา สำหรับสถูปที่บรรจุอัฐิพระสงฆ์แบบนี้ทางภาคใต้เรียกว่าบัวชาวบ้านต่อมาจึง เรียกสมภารปานว่า พ่อท่านในบัว และนับถือสถูปหรือบัวที่บรรจุอัฐิของท่าน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อท่านในบัวก็เคยแสดงอภินิหารให้ชาวบ้านได้พบเห็น กันบ่อยๆ ใครมีเรื่องเดือดร้อนหรือทุกข์ยากอะไร ก็จะพากันมากราบไหว้ขอความช่วยเหลือจากพ่อท่านในบัวอยู่เสมอ ๆ
รูปถ่ายท่านพระครูสุนทร วัดดินดอน
ท่านจึงได้รักษาการอยู่จนถึง พ.ศ. 2475 จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดดินดอน พอปีถัดมา พ.ศ. 2476 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะหมวด พ.ศ. 2479 ได้เป็นกรรมการศึกษาฝ่ายสงฆ์พอถึงวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2480 ก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูสุนทรดิตถคณี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2481 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ รูปเหมือนพระครูสุนทร วัดดินดอน
พระครูสุนทร วัดดินดอน นอกจากจะมีความรู้ทางด้านพระปริยัติธรรมและการบริหารการปกครอง ท่านยังรอบรู้ในวิทยาคมและเชี่ยวชาญวิปัสสนากรรมฐานท่านหนึ่งของเมืองนครศรี ธรรมราชในยุคนั้น ท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และก็สร้างมาเรื่อย ๆ ตามแต่จะมีโอกาสจนกระทั่งมรณภาพ วัตถุมงคลของท่านมีหลายชนิด เช่น รูปเหมือน พระเครื่องเนื้อดินเผา เครื่องรางของขลัง ตะกรุด ผ้ายันต์ และลูกอมเป็นต้น แต่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับท่านมากที่สุดก็คือ......เครื่องรางของขลังเชือกคาดเอวพระครูสุนทร วัดดินดอน
พระครูสุนทรเรียนวิชาสร้างเชือกคาดเอวมาจากพระครูกาแก้ว(ศรี) ผู้เป็นบิดา ส่วนพระครูกาแก้ว (ศรี) นั้นก็เรียนวิชาการสร้างเชือกคาดเอวมาจากเจ้าอาวาสวัดบางกล้วย จังหวัดสุราษฏร์ธานี เชือกคาดเอวของพระครูสุนทรลักษณะจะไม่เหมือนเชือกคาดเอวของพระเกจิอาจารย์ ภาคใต้ยุคหลัง ๆ อย่างเชือกคาดเอวของพ่อท่านเขียว วัดหรงบน พ่อท่านแก่น วัดทุ่งหล่อ พ่อท่านสังข์ วัดดอนตรอ และพระเกจิอาจารย์สายใต้ท่านอื่น ๆ ที่เอาผ้ามาลงอักขระแล้วถักหุ้มกับเชือกเป็นเส้นยาว
เชือกคาดเอวพระครูสุนทร วัดดินดอน แต่เชือกคาดเอวของพระครูสุนทรท่านจัดเอาผ้ามาฉีกเป็นริ้วยาวๆ หลายเส้น แล้วลงอักขระไปตามแนวยาวของริ้วผ้า เวลาถักก็จะขมวดส่วนหัวก่อน จากนั้นก็ถักเป็นเกลียวไปจนตลอดถึงส่วนหางก็ขมวดปมอีกปมหนึ่ง เวลาถักเชือกก็จะบริการรมคาถาไปพร้อม ๆ กันเมื่อขมวดส่นปมของหางเสร็จก็จะให้พร้อมกับภาวนาคาถาจบพอดี เชือกคาดเอวพระครูสุนทรท่านทำแจกมาตั้งแต่ยังจำพรรษาที่วัดหน้าพระบรมธาตุ เมื่อท่านย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดดินดอนแล้วก็มีชาวบ้านมาขอเชือกคาดเอวกับ ท่านเรื่อย ๆ เมื่อปี พ.ศ. 2483 ครั้งที่เกิดสงครามอินโดจีน จอมพล ป. พิบูลสงครามนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ทำหนังสือขอพระเครื่องไปยังวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อนำมาแจกทหารที่ไปรบสงครามครั้งนั้นได้มีวัดต่างๆ นำพระเครื่องเก่าๆ ที่บรรจุกรุออกมามอบให้กับรัฐบาลกันหลายวัด ส่วนวัดที่ไม่มีพระเครื่องไทยเก่า ๆ เก็บเอาไว้ ก็จะทำพิธีปลุกเสกพระเครื่องขึ้นมาเพื่อแจกทหารไปรบโดยเฉพาะ
เหรียญพระครูสุนทร วัดดินดอน
ส่วนพระครูสุนทรท่านได้ทำเชือกคาดเองขึ้นมาจำนวนหลายเส้น แล้วก็มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อนำไปมอบให้กับรัฐบาลและส่งให้ทหารที่ไปรบในสงครามต่อไป ซึ่งเชือกคาดเอวของพระครูสุนทรก็มีประสปการณ์ในสงครามครั้งนั้นมาก ปากต่อปากก็เล่าต่อ ๆ กันไป จนทุกวันนี้เชือกคาดเอวของท่านก็ยังเป็นที่เสาะหาของคนเมืองนครกันอย่างยิ่ง และก็หาไม่ได้ง่าย ๆ เลย
ที่มา หนังสือเซียนพระ ฉบับที่ 465 เขียนโดย ทวีสิน ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลด้วยครับ เอื่อเฟื้อข้อมูลให้โดย คุณ(charl) ข้อมูลและรูปภาพจาก พี่หลวงชาเด็กป่ายอม

ประวัติหลวงปู่แฟ้บ สุภัทโท วัดป่าดงหวาย จ.สกลนคร

ประวัติ หลวงปู่แฟ้บ สุภัทโท วัดป่าดงหวาย จ.สกลนคร หลวงปู่แฟ้บ สุภัทโท พระปฏิบัติเมืองสกลนครคอลัมน์ อริยะโลกที่ 6สุพจน์ สอนสมนึก
รูปหลวงปู่แฟ้บ สุภัทโท วัดป่าดงหวาย
" หลวงปู่แฟ้บ สุภัทโท" แห่งวัดป่าดงหวาย ต.บ้านม่วง อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร เป็นพระนักปฏิบัติที่มีปฏิปทางดงามเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของสาธุชนชาวเมือง สกลนครอีกรูปหนึ่ง ประวัติหลวงปู่แฟ้บ สุภัทโท วัดป่าดงหวาย จ.สกลนครอัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า ญาติ กุลวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2465 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือนสอง ปีจอ เพราะเหตุบางประการในการแจ้งชื่อในทะเบียนทหารกองเกิน ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น "แฟบ" และวันเวลาเกิดก็ผิดพลาดไปด้วย จึงต้องใช้ชื่อวันและเวลาเกิดใหม่จากนั้นเป็นต้นมา ได้เรียกเพี้ยนเป็นหลวงปู่ "แฟ้บ" ไป บ้านเกิดอยู่ ณ บ้านคำชะอี ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.นครพนม (จังหวัดมุกดาหารในปัจจุบัน) โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายพรหมมาและนางทุมมา กุลวงศ์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา การศึกษาของท่านเรียนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เมื่อมารดาถึงแก่กรรมตอนอายุได้ 7 ขวบ บิดาได้แต่งงานใหม่ ทำให้ต้องย้ายไปอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ในสมัยนั้นหมู่บ้านอยู่ในชนบทห่างไกลมาก จึงไม่มีโรงเรียนทำให้ท่านไม่ได้รับการศึกษาต่อ ดังนั้น ท่านจึงช่วยงานของบิดา จนถึงอายุ 16 ปี จึงย้ายกลับมาอยู่กับพี่ชายที่บ้านเดิมในวัยเยาว์นั้น มีเหตุการณ์ที่สร้างความประทับใจและปลูกศรัทธาความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และพระธุดงค์กัมมัฏฐานเป็นอย่างมาก เมื่อได้กราบนมัสการหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ที่ถ้ำจำปาภูผากูด ต่อมาท่านทั้งสองได้ออกธุดงค์มาแวะใกล้บริเวณหมู่บ้าน ได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการท่านทั้งสอง เพราะชาวบ้านไปถางป่าจัดทำสถานที่พักไปฟังเทศน์ ท่านก็ตามชาวบ้านไปด้วย มีโอกาสช่วยงานต่างๆ และทำทางเดินจงกรมให้กับหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นด้วยหลวงปู่แฟ้บ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุต เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2525 วัดอรัญญิกาวาส ต.บ้านผือ จ.อุดรธานี โดยมีพระครูอุดรคณานุศาสน์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระมหามีสุทสลี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และเจ้าอธิการสมจิต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สำหรับท่านหลวงปู่แฟ้บ เมื่อครั้งท่านบวชใหม่ๆ กับท่านพระอาจารย์ประสิทธิ์ ปภังกโร ที่วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และท่านก็ได้เข้าไปศึกษารับการอบรมข้อวัตรปฏิบัติ ตลอดจนการเจริญสมณธรรมจากครูบาอาจารย์หลายรูปหลังจากที่หลวงปู่แฟ้บ ท่านได้เข้ารับการอบรมจากครูบาอาจารย์หลายรูป เช่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านก็ได้เดินธุดงค์มุ่งหน้าสู่การปฏิบัติรรมเป็นเวลาหลายปี โดยที่ครั้งหนึ่งหลวงปู่แฟ้บได้มุ่งหน้าเดินธุดงค์ไปที่จังหวัดมุกดาหาร โดยไปพักภาวนาที่ภูเก้า และได้พบท่านหลวงปู่หล้า เขมปัตโตต ที่วัดภูจ้อก้อ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร และได้รับการอบรมธรรมจากท่านพอสมควรแก่เวลา จึงลาท่านเพื่อหาสถานที่พักบำเพ็ญต่อไป เป็นเวลาหลายพรรษา จนพรรษาเข้ากาลสมัย หลวงปู่แฟ้บจึงมาพักการเดินธุดงค์โดยมาพักที่วัดป่าดงหวายหลวงปู่แฟ้บ ท่านได้ทำนุบำรุงศาสนสถานให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมถาวรมากมาย เช่น ศาลาการเปรียญ 1 หลัง กุฏิกรรมฐานถาวรจำนวนมาก และได้สร้างวิหารมณฑปแสดงประวัติการปฏิบัติธรรมของท่านด้วย 1 หลัง และได้สร้างพุทธเจดีย์ เพื่อบรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าและพระธาตุของครูบาอาจารย์หลายรูป ในการก่อสร้างหลวงปู่แฟ้บมิได้เรี่ยไรปัจจัยแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงความศรัทธาในตัวญาติโยมที่มีต่อหลวงปู่ เมื่อหลวงปู่แฟ้บได้มาอยู่จำพรรษาที่วัดป่าดงหวายเป็นการถาวรแล้ว ท่านก็นำพระภิกษุสามเณรพากันประพฤติปฏิบัติธรรม ตลอดจนได้อบรมพระเณรและชาวบ้านในละแวกวัดป่าดงหวายนั้น จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธามากขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบัน วัดป่าดงหวาย ได้รับความศรัทธาจากลูกศิษย์ทั้งพระภิกษุและฆราวาสเข้ามาขอความเมตตา ฟังเทศน์ ฟังธรรมคำสั่งสอนและหลักปฏิบัติภาวนาเป็นจำนวนมาก หลวงปู่ก็ให้ความเมตตา อบรมสั่งสอน ให้อยู่ในศีลในธรรม ให้รู้จักปฏิบัติภาวนารักษาจิตใจให้สะอาด โดยเน้นหลักคำสอนจองพระพุทธเจ้า แม้สังขารร่างกายของหลวงปู่แฟ้บจะทรุดโทรมด้วยความชราและโรคภัยต่างๆ ที่เข้ามาเบียดเบียนก็ไม่ได้ทำให้หลวงปู่ลดความเมตตาลงตามไปด้วยแม้แต่น้อย หลวงปู่แฟ้บยังคงปฏิบัติภาวนา เช่น เดินจงกรม นั่งสมาธิ อยู่เป็นประจำ

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติ หลวงพ่อโต วัดบุปผาราม จ.ตราด

ประวัติ หลวงพ่อโต วัดบุปผาราม จ.ตราด

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2195 "หลวงเมือง" คหบดีชาวบ้านเกาะกันเกรา ต.วังกระแจะ อ.เมือง จ.ตราด ได้เป็นผู้ร่วมมือกับ ชาวบ้านสร้าง "วัดบุปผาราม" บริเวณเชิงเนินที่สวยงาม โดยชาวบ้านเล่าสืบกันมาว่าเมื่อก่อนนี้ในหมู่บ้านและบริเว

หลวงพ่อโต วัดบุปผาราม

ณวัดมีพันธุ์ไม้ ดอกไม้ผลนานาชนิด ออกดอกออกผลตามฤดูกาล ล้วนมีสีสันสวยงาม ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว โดยเฉพาะในบริเวณวัดยังมีพันธ์ไม้ที่ใช้ทำยาไทย และใช้ปรุงน้ำอบน้หอมขึ้นอยู่เป็นอันมาก

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ก่อนที่จะสร้างวัดนี้ขึ้นมาได้มีการสำรวจหาที่ก่อตั้งวัดคณะสำรวจได้มาถึง บริเวณแห่งนี้ได้กลิ่นดอกไม้ หอมหวนตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ แต่หาต้นไม้ที่มาของกลิ่นไม่พบ จึงมีความเห็นร่วมกันว่า คงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะ สร้างวัดตรงบริเวณนี้ หลังจากสร้างแล้วจึงตั้งชื่อ วัดบุปผาราม หมายถึงวัดสวนดอกไม้ เป็นต้นมา

ทั้งนี้ในทะเบียนกรมการศาสนาได้ตรวจพบหลักฐานว่า วัดบุปผาราม สร้างในปี 2195 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2172-2199) และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ.2225 ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231)

หลักฐานด้านโบราณคดีที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุที่เป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยา มีพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย และภาชนะประเภทเครื่องเบญจรงค์ ที่เป็นศิลปะสมัย อยุธยาตอนปลาย มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 22-23

โบราณสถานและโบราณวัตถุที่เป็นศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 24-25 เจดีย์ทรงปรางค์ที่เป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของวัดบุปผาราม เป็นศิลปกรรมที่นิยมสร้างมากในสมัยรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้เป็นเพราะได้รับการบูรณะเปลี่ยนเปลง รูปแบบเดิมจึงเปลี่ยนไปโดยเจดีย์ทรงปรางค์ เป็นเจดีย์ย่อมมุมไม้สิบสองขนาดเล็ก มียอดปรางค์ ตั้งอยู่ด้านหลังของวิหารพระพุทธไสยาสน์

และวิหารพระพุทธไสยาสน์ (วิหารพระนอน) เป็นวิหารก่อด้วยศิลาแลงถือปูน ขนาดกว้าง 3.85 เมตร ยาว 8.95 เมตร หลังคาชั้นเดียวมีพาไลด้านหน้า หน้าบันและซุ้มหน้าต่างประเด็บด้วยเครื่องถ้วยจีนและเครื่องถ้วยยุโรป ฝาผนังและเพดานด้านในมีภาพจิตรกรรมเขียนสีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เพดานเขียนภาพลายดอกไม้ ลายสัตว์ มีนก กวาง มังกรคู่ และอักษรจีน ผนังด้านหลัง พระพุทธรูปเขียนลายนก และลายดอกไม้

ส่วนผนังอีก 3 ด้านเขียน ลายดอกไม้ มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันตก พระพุทธไสยาสน์ หันพระเศียรไปทางทิศตะวันออก โดยหันพระพักตร์ ไปทางเหนือ วิหารหลังนี้บูรณะใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2533

สำหรับพระประธานในอุโบสถ พระครูสุวรรณสารวิบูล เจ้าอาวาสวัดบุปผารามองค์ปัจจุบัน อธิบายถึงประวัติ ความเป็นมาว่า พระประธานในอุโบสถหลังนี้ชื่อ "หลวงพ่อโต" ซึ่งประวัติความเป็นมาโดยละเอียดนั้นไม่มีหลักฐาน ระบุชัดเจน แต่สร้างสมัยเดียวกันหลวงพ่อโตที่วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร

โดยหลวงพ่อโต วัดบุปผาราม ก่อสร้างในสมัยพระพุทธรูปสมัยอยุธยา เนื้อจะเป็นทรายแดงฉาบปูน ปางมารวิชัย รูปพระพักตร์มีรอยยิ้มละไม มีขนาดใหญ่กว่า "หลวงพ่อโต" ที่วัดหลักสี่ราษฎรสโมสรเล็กน้อย แต่มีลักษณะพิเศษก็คือ ที่นิ้วหัวแม่เท้าด้านขวาจะมี "เล็บ" เป็นเนื้อสีขาวขุ่น ขณะที่ หลวงพ่อโต วัดหลักสี่ราษฎรสโมสรไม่มี

พระสุวรรณสารวิบูล กล่าวว่า หลวงพ่อโตองค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์และเป้ฯที่เชื่อถือของชาวเมืองตราดมาช้า นาน ในยุคนั้น ประชาชนเดินทางมากราบไหว้จำนวนมากเพื่อขอพรและขอโชคลาภ

แต่ปัจจุบันโบสถ์และวิหารได้รับการ จดทะเบียนโบราณสถานและโบราณวัตถุอันล้ำค่า จึงไม่ค่อยมีประชาชนเข้ามาสักการะมากนัก เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับความเสียหาย และถูกโจรกรรมจากกลุ่มมิจฉาชีพ

ทั้งนี้ หลวงพ่อโต วัดบุปผาราม เป็นที่รู้จักในความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก, หลวงพ่อพระพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา,หลวงพ่อวัดไร่ขิง จ.นครปฐม, หลวงพ่อโต วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร จ.สมุรสาคร, หลวงพ่อวัดบ้านแหลม จ.สมุทรสาคร, หลวงพ่อวัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร กรุงเทพฯ, หลวงพ่อพระพุทธชนะมาร วัดธรรมบันดาล จ.นครราชสีมา

พระพุทธรูป ที่กล่าวถึงนี้ล้วนทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์มาช้านาน หลวงพ่อโต วัดบุปผาราม ในบรรดาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏบุญญฤทธิ์ เป็นที่พึงทางใจของชาวพุทธไม่เสื่อมคลาย

พระเครื่องประจำวันเกิด

พระเครื่องประจำวันเกิด

พระเครื่องประจำวันเกิด : พระเครื่องประจำวันเกิด พระเครื่องที่ถูกโฉลกสำหรับคนเกิดวันต่างๆ คนเกิดวันไหน ควรบูชาพระเครื่อง ชนิดใด แบบไหน เรารวบรวมมาให้ท่านแล้ว

พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันเสาร์

สิทธิการิยะ ท่านที่เกิดวันเสาร์ ท่านว่าเป็นคนจริงจังกับชีวิต พูดจริงทำจริง

ภายนอกดูดุดันแต่ภายในใจเป็ฯคนใจอ่อน แต่เป็นคนที่หาคนทำร้ายได้ยากยิ่ง

เนื่องจากตำแหน่งลักขณาดาวนี้ดวงแข็ง

โบราณจารย์ถือว่า คนเกิดวันเสาร์นั้นดวงแข็งไม่มีผู้ใดทำร้ายได้

จึงถือเอาพระปางนาคปรกเป็นพระประจำวันเกิด เนื่องจากหมายถึง

พระยามุจรินทร์นาคราช มาแผ่พังพาฬป้องกันภยันตรายต่างๆแก่พระพุทธองค์

สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เกิดในวันเสาร์

เนื่องจากดาวเสาร์ เป็นคนจริงจังเคร่งเครียด

พระพิมพ์ที่เสริมดวงของผู้ที่เกิดวันนี้นั้นควรจะเป็น

พระที่ทำจากว่านอันเป็นคุณลักษณะที่เย็นและบริสุทธิ์จากธรรมชาติ อาทิเช่น

พระว่านหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ ปัตตานี , พระกำแพงว่านหน้ากอง หน้าเงิน

พระว่านจำปาศักดิ์ ประเทศลาว , พระมหาว่านขาว มหาว่านดำ สำนักเขาฮ้อ พัทลุง ฯลฯ

พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันศุกร์

สิทธิการิยะ คนที่เกิดวันศุกร์นั้นท่านว่าเป็นคนราคะจริตสูง

เป็นคนหลงในสิ่งสวยงาม ชอบของสวยของงาม ทำงานประณีต

โบราณจารย์ ท่านจึงให้พระปางรำพึง เป็นอณุสติเตือน ปางรำพึงนั้น

ตามพุทธประวัติเป็นปางที่พระพุทธองค์ พิจารณาธรรมสังเวช หมายถึง อสุภกรรมฐาน

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เกิดวันศุกร์จึงควรมีพระปางรำพึงไว้เป็นอณุสติไว้ ไม่ให้หลง

สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสมกับผู้ที่เกิดวันศุกร์นั้น

จึงควรเป็นพระปิตตาภควัมปติ เพื่อเป็นลักษณะอณุสติเตือนใจ มิให้หลงในสิ่งต่างๆ

และเสริมดวงโชคลาภวาสนา จะไหลมาอย่างที่คาดไม่ถึง

พระพิมพ์ปิตตาภควัมปติที่มีชื่อเสียงอาทิ เช่น พระภควัมปติ ของหลวงพ่อแก้ว จ.ชลบุรี

พระภควัมปติของหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง จ.นนทบุรี ฯลฯ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันศุกร์ พระคู่กาย ควรจะเป็นพระปิตตา มหาอุตม แบบต่างๆ เป็นดีที่สุด

พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดี

สิทธิการิยะ คนที่เกิดวันพฤหัสฯนั้นท่านว่า เป็นคนมีปัญญาชาญฉลาด

มีความยุติธรรมเที่ยงตรง มีความรู้กว้างขวาง ชอบเรียนรู้ ใจเอื้อเฟื้อ

แต่เป็นคนไม่ยอมคน ไม่ฉ้อฉลจนเป็นคนสังคมแคบ

ด้วยความที่เป็น ผู้มีความรู้มีปัญญา

โบราณจารย์จึงให้พระปางสมาธิเป็นพระประจำวันเกิด

เนื่องจากหมายถึงการเจริญสมาธิอันหมายถึงปัญญา

สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสมกับผู้ที่เกิดวันพฤหัสฯนั้น

เนื่องจาก เป็นผู้ที่มีปัญญา มีความรู้กว้างขวาง พระพิมพ์ที่ช่วยเสริมดวงวาสนานั้น

โบราณท่านว่า พระปางเปิดโลก ท่านถือว่าเป็นพระแห่งปัญญา

เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันนี้เป็นที่สุด พระพิมพ์นี่นี้ ที่มีชื่อเสียงอาทิเช่น

กรุเตาเรียง จ.สุโขทัย พระร่วงเปิดโลกพิมพ์เม็ดทองหลาง จ.กำแพงเพชร ฯลฯ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันพฤหัสฯ พระคู่กายคือพระยืนปางเปิดโลกเป็นดีที่สุด

พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันพุธ

สิทธิการิยะ คนที่เกิดวันพุธแยกเป็นสองนัย กล่าวคือ พุธกลางวันอย่างหนึ่ง

พุธกลางคืนอย่างหนึ่ง พุธกลางวันนั้น ท่านว่าเป็นคนมีฝีปากกล้า

ค้าขายคล่องแคล่ว เดินทางเก่ง ติดต่อสื่อสารกับผู้ใดมักได้ลาภเสมอ

แต่มักทำคุณคนไม่ขึ้น ทำดีสิ่งใด มักไม่มีใครเห็น

โบราณจารย์ท่านจึงได้ให้พระปางอุ้มบาตร เป็นพระประจำวันเกิดในวันพุธกลางวัน

หมายถึงการบิณฑบาตร โปรดสัตว์ โดยมิได้เห็นแก่พระราชามหากษัตริย์หรือขอทานยาจก

แม้ผู้ใดปรารถนาในกุศล ท่านโปรดเท่าเทียมกัน จึงเป็นอนุสติ

แก่เจ้าชะตาผู้เกิดในวันพุธกลางวัน ว่าแม้ทำความดี มิมีได้เห็น ก็ไม่ต้องใส่ใจ

พุธกลางคืนนั้น ท่านว่า

เป็นคนลึกลับมีความรู้ความสามารถในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถ

มักจะมีลางสังหรณ์ทราบการณ์ล่วงหน้า แต่มักไม่ค่อยมีคนเข้าใจเวลามีปัญหา

โบราณจารย์ท่านจึงให้พระปางป่าเลไลย์เป็นอณุสติ เนื่องจากพระปางนี้

เป็นปางที่พระพุทธเจ้าทรงเบื่อหน่ายพระสาวกที่ขัดแย้งกัน

พระพุทธองค์จึงทรงเสด็จไปเพียงลำพัง ณ ป่าเลไลย์ มีช้างป่ามาถวายกล้วย และ ลิงมาถวายน้ำผึ้ง ฯลฯ

สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางวันนั้น

เนื่องจากวันพุธเป็นฤกษ์แห่งการทำกิน

พระเครื่องที่เหมาะสมนั้นควรเป็นพระประเภทลีลา

หรือปางลีลาเสด็จกลับจากดาวดึงส์ มีความหมายแห่งความก้าวหน้า อาทิเช่น

พระกำแพงเพชรลีลา พิมพ์ต่างๆ เช่น ลีลาเม็ดขนุน , ลีลาพลูจีบ , ลีลากลีบจำปา ,

ลีลาเมืองสวรรค์ ชัยนาท ลีลายี่สิบห้าพระพุทธศตวรรษ พุทธมณฑล ฯลฯ

สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนนั้น

เนื่องจากลักษณะวันนั้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนมักมีสัมผัสพิเศษ

และมีลางสังหรณ์มากกว่าวันอื่น ดังนั้น

นอกจากพระเครื่องพระพิมพ์ที่อาราธนาแล้วควรจะมีเครื่องราง

เสริมดวงได้ป้องกันอาถรรพ์ต่างๆ ซึ่งคนที่เกิดในวันนี้ สัมผัสได้ง่าย

ตัวอย่างเครื่องรางที่ควรพกพา เช่น ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง ,

ตะกรุดคณาจารย์ต่างๆ , ลูกอมผงพุทธคุณ ฯลฯ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันพุธกลางวัน พระคู่กายคือ พระยืนปางลีลาต่างๆ

สำหรับท่านที่เกิดวันพุธกลางคืน พระคู่กายคือ พวกเครื่องรางแบบต่างๆ

พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันอังคาร

สิทธิการิยะ ท่านว่าเป็นคนมุทะลุดุดัน มักเจ้าอารมณ์โมโหร้าย

โกรธเคืองขุ่นอันตราย แต่เป็นคนรักจริง เอาจริงเอาจังต่อสิ่งที่ตนเองกระทำ

โบราณจารย์ ท่านจึงให้พระปางไสยาสน์ เป็นพระปางประจำวันเกิด

เพราะพระพุทธเจ้าไสยาสน์นั้นหมายถึงตอนที่พระพุทธองค์ท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

คำว่านิพพาน เป็นว่า เย็น ดังนั้นเมื่อผู้ที่เกิดวันอังคารมีอารมณ์ร้อน

จึงควรมีพระประจำวันคือ

พระนอนเย็นอนุสติ เตือนใจให้รู้จักความเยือกเย็น

ส่วนพระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร นั้นควรเป็นพระผงพุทธคุณ

เนื่องจากเป็นพระที่มิได้ผ่านความร้อน อีกทั้งพุทธานุภาพ ขององค์พระ

จะช่วยให้จิตใจเยือกเย็น เป็นสมาธิ สามารถบรรเทาธาตุโทสะจริต

แห่งฤกษ์ชะตาวันเกิดได้

พระเครื่องที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เกิดวันอังคารได้แก่ พระผงในตระกูลสมเด็จ

อาทิเช่น พระสมเด็จวัดระฆัง , พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม , พระสมเด็จวัดเกศไชโย

รวมถึงพระผงคณาจารย์ต่างๆ เช่น พระปิสันธ์วัดระฆัง พระวัดสามปลื้ม พระวัดท้ายตลาด

พระวัดพลับ พระผงวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ฯลฯ

สรุป สำหรับคนที่เกิดวันอังคาร พระคู่กายควรจะเป็นพระเนื้อผงต่างๆ เป็นดีที่สุด

พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันจันทร์

สิทธิการิยะ ท่านว่าคนที่เกิดวันจันทร์ เป็นคนมีเสน่ห์

เป็นที่รักแก่บุคคลทั้งหลาย โกรธง่ายหายเร็ว ทำการสิ่งใดมักละเอียด

เหมาะสำหรับงานด้านศิลปะวิทยา แต่เป็นผู้ใจน้อย อ่อนไหว ทำให้ขาดอำนาจและวาสนา

โบราณจารย์จึงให้พระปางห้ามญาติเป็นพระประจำวันจันทร์

เพราะดาวจันทร์ความคิดสับสน ปางนี้จึงเหมือนเตือนเจ้าชะตา

ผู้ที่กำเนิดในตำแหน่งลัขณาดาวจันทร์นี้

ดุจพระพุทธองค์ห้ามญาติทั้งสองฝ่ายแย่งน้ำซึ่งกันและกัน

เมื่อวันจันทร์เป็นวันที่มีเสน่ห์ แต่ขาดซึ่งอำนาจและวาสนา

พระเครื่องที่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เกิดวันจันทร์ ควรจะเป็นตระกูล พระยอดขุนพล

เนื้อพระทำด้วยตะกั่วแก่ ดีบุก ปรอท (ชินเงิน) ตะกั่วเดือน ( ตะกั่วสนิมแดง)

พระในชุดนี้ โบราณจารย์ท่านถือว่า เสริมบารมีในอำนาจยิ่งนัก

พระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ ได้แก่ พระในตระกูลเนื้อชิน

อาทิเช่น พระร่วงหลังรางปืน จังหวัดสุโขทัย , พระร่วงหลังลายน้ำ จังหวัดลพบุรี , พระเชตุพน จังหวัดสุโขทัย ,

พระพิจิตรข้างเม็ดกรุเขาพนมเพลิง , พระกรุวัดราชบูรณะจังหวัดอยุธยา ฯลฯ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันจันทร์ พระคู่กายควรจะเป็น พระยอดขุนพล พระกรุต่างๆ เป็นดีที่สุด

พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์

สิทธิการิยะ ท่านว่าคนเกิดวันอาทิตย์นั้นเป็นคนมีความมาดมั่น มุ่งมั่นในงาน

มีความว่องไว แต่มักฉุนเฉียวง่าย การตัดสินใจมักขาดความยั้งคิด

โบราณจารย์ท่านจึงให้พระพุทธปางถวายเนตรเป็นพระประจำวันเกิด

เนื่องจากปางถวายเนตร เป็นปางยืนพิจารณาธรรมอันปิติ ในท่าสำรวม

หมายถึงการกระทำอย่างมีสติ

ดังนั้นเมื่อดาวอาทิตย์ เป็นตำแหน่งลักขณาที่มีอำนาจอยู่ในตัว

พระเครื่องที่ผู้เกิดวันอาทิตย์ควรอาราธนาเพื่อความเป็นศิริมงคลนั้น

ควรจะเป็นพระพิมพ์ที่ผ่านความร้อนจากไฟ เนื่องจากจะช่วยหนุนธาตุประจำตัว

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเป็นพระปางมารวิชัย เนื่องจากเป็นพระพิมพ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะพญามาร

เนื่องจากเจ้าชะตาผู้เกิดวันอาทิตย์

เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจประกอบอาชีพ จึงมักมีศัตรูหรือ อริ

พระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้แก่

พระรอด ลำพูน , พระดง ลำพูน , พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง จังหวัดสุพรรณบุรี , พระหลวงพ่อโต

กรุบางกระทิง พิมพ์มารวิชัย , พระกริ่งคลองตะเคียน อยุธยา ,

พระกรุวัดตะไกร อยุธยา , พระกรุขรัวอีโต้ วัดเลียบ กทม. ฯลฯ

สรุป สำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์ พระคู่กายควรจะเป็น พระนั่งศิลปแบบนั่งมารวิชัย เป็นดีที่สุด

พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์

สิทธิการิยะ ท่านว่าคนเกิดวันอาทิตย์นั้นเป็นคนมีความมาดมั่น มุ่งมั่นในงาน

มีความว่องไว แต่มักฉุนเฉียวง่าย การตัดสินใจมักขาดความยั้งคิด

โบราณจารย์ท่านจึงให้พระพุทธปางถวายเนตรเป็นพระประจำวันเกิด

เนื่องจากปางถวายเนตร เป็นปางยืนพิจารณาธรรมอันปิติ ในท่าสำรวม

หมายถึงการกระทำอย่างมีสติ

ดังนั้นเมื่อดาวอาทิตย์ เป็นตำแหน่งลักขณาที่มีอำนาจอยู่ในตัว

พระเครื่องที่ผู้เกิดวันอาทิตย์ควรอาราธนาเพื่อความเป็นศิริมงคลนั้น

ควรจะเป็นพระพิมพ์ที่ผ่านความร้อนจากไฟ เนื่องจากจะช่วยหนุนธาตุประจำตัว

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเป็นพระปางมารวิชัย เนื่องจากเป็นพระพิมพ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะพญามาร

เนื่องจากเจ้าชะตาผู้เกิดวันอาทิตย์

เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจประกอบอาชีพ จึงมักมีศัตรูหรือ อริ

พระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้แก่

พระรอด ลำพูน , พระดง ลำพูน , พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง จังหวัดสุพรรณบุรี , พระหลวงพ่อโต

กรุบางกระทิง พิมพ์มารวิชัย , พระกริ่งคลองตะเคียน อยุธยา ,

พระกรุวัดตะไกร อยุธยา , พระกรุขรัวอีโต้ วัดเลียบ กทม. ฯลฯ

สรุป สำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์ พระคู่กายควรจะเป็น พระนั่งศิลปแบบนั่งมารวิชัย เป็นดีที่สุด

พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันพุธ

สิทธิการิยะ คนที่เกิดวันพุธแยกเป็นสองนัย กล่าวคือ พุธกลางวันอย่างหนึ่ง

พุธกลางคืนอย่างหนึ่ง พุธกลางวันนั้น ท่านว่าเป็นคนมีฝีปากกล้า

ค้าขายคล่องแคล่ว เดินทางเก่ง ติดต่อสื่อสารกับผู้ใดมักได้ลาภเสมอ

แต่มักทำคุณคนไม่ขึ้น ทำดีสิ่งใด มักไม่มีใครเห็น

โบราณจารย์ท่านจึงได้ให้พระปางอุ้มบาตร เป็นพระประจำวันเกิดในวันพุธกลางวัน

หมายถึงการบิณฑบาตร โปรดสัตว์ โดยมิได้เห็นแก่พระราชามหากษัตริย์หรือขอทานยาจก

แม้ผู้ใดปรารถนาในกุศล ท่านโปรดเท่าเทียมกัน จึงเป็นอนุสติ

แก่เจ้าชะตาผู้เกิดในวันพุธกลางวัน ว่าแม้ทำความดี มิมีได้เห็น ก็ไม่ต้องใส่ใจ

พุธกลางคืนนั้น ท่านว่า

เป็นคนลึกลับมีความรู้ความสามารถในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถ

มักจะมีลางสังหรณ์ทราบการณ์ล่วงหน้า แต่มักไม่ค่อยมีคนเข้าใจเวลามีปัญหา

โบราณจารย์ท่านจึงให้พระปางป่าเลไลย์เป็นอณุสติ เนื่องจากพระปางนี้

เป็นปางที่พระพุทธเจ้าทรงเบื่อหน่ายพระสาวกที่ขัดแย้งกัน

พระพุทธองค์จึงทรงเสด็จไปเพียงลำพัง ณ ป่าเลไลย์ มีช้างป่ามาถวายกล้วย และ ลิงมาถวายน้ำผึ้ง ฯลฯ

สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางวันนั้น

เนื่องจากวันพุธเป็นฤกษ์แห่งการทำกิน

พระเครื่องที่เหมาะสมนั้นควรเป็นพระประเภทลีลา

หรือปางลีลาเสด็จกลับจากดาวดึงส์ มีความหมายแห่งความก้าวหน้า อาทิเช่น

พระกำแพงเพชรลีลา พิมพ์ต่างๆ เช่น ลีลาเม็ดขนุน , ลีลาพลูจีบ , ลีลากลีบจำปา ,

ลีลาเมืองสวรรค์ ชัยนาท ลีลายี่สิบห้าพระพุทธศตวรรษ พุทธมณฑล ฯลฯ

สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนนั้น

เนื่องจากลักษณะวันนั้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนมักมีสัมผัสพิเศษ

และมีลางสังหรณ์มากกว่าวันอื่น ดังนั้น

นอกจากพระเครื่องพระพิมพ์ที่อาราธนาแล้วควรจะมีเครื่องราง

เสริมดวงได้ป้องกันอาถรรพ์ต่างๆ ซึ่งคนที่เกิดในวันนี้ สัมผัสได้ง่าย

ตัวอย่างเครื่องรางที่ควรพกพา เช่น ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง ,

ตะกรุดคณาจารย์ต่างๆ , ลูกอมผงพุทธคุณ ฯลฯ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันพุธกลางวัน พระคู่กายคือ พระยืนปางลีลาต่างๆ

สำหรับท่านที่เกิดวันพุธกลางคืน พระคู่กายคือ พวกเครื่องรางแบบต่างๆ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันเสาร์ พระคู่กายควรเป็น พระเนื้อว่าน เป็นดีที่สุด