วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วัสดุที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ "ครั่งพุทรา"ที่เกาะอยู่บนกิ่งพุทราชี้ไปทางทิศตะวันออกอย่างน้อยจาก 3 ต้นขึ้นไป

ตามตำราของสมเด็จพระพนรัตนได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องเป็นกิ่งที่ชี้ไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น จึงจะใช้ได้ ถ้าเป็นกิ่งที่ตายพราย ให้ใช้เพียงกิ่งเดียวก็พอ จะเพิ่มอิทธิฤทธิ์มากยิ่งขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อพุฒได้เดินทางไปที่อำเภอเถินและได้เข้าไปในป่าพุทราได้พบครั่งเกาะอยู่บนกิ่งพุทราป่าที่ชี้ไปทางทิศตะวันออกตายพรายอยู่หลายสิบกิ่ง ท่านจึงให้ลูกศิษย์ขึ้นไปตัดและนำมาสร้างเป็น "วัวธนูครู" ตัวใหญ่ไว้ประจำตัว บูชาอยู่บนหิ้งในห้องส่วนตัวของท่าน ท่านบอกว่าวัวครูตัวนี้ไว้ควบคุมวัวธนูทุกตัว ทุกครั้งที่ท่านจะทำการสร้างและปลุกเสกวัวธนูจะต้องนำ "วัวธนู" ร่วมเป็นประธานในการปลุกเสกด้วยทุกครั้ง

ตอนนี้กลับมาที่วัตถุประกอบการสร้าง "วัวธนู" ต่อไป เมื่อหาครั่งพุทราเกาะกิ่งชี้ไปทางทิศตะวันออกได้แล้ว สิ่งที่ต้องจัดหาอีกก็คือ ลวดทองแดง และแผ่นทองแดง นำไปตัดทำโครงซึ่งเป็นโครงชั้นในทำง่ายๆ โดยดัดให้เป็นแกนตัว ขา คอ หาง และขา

โครงตัวช่วงคอบรรจุตะกรุดในพิธีก่อนนำเอาครั่งห่อหุ้ม ตะกรุดดังกล่าวลงอักขระเหล็กจารและม้วนในพิธีนั้น และต้องเตรียมแป้งเจิม แผ่นทองคำเปลวไว้ปิดตรงหน้าผากด้วย ขั้นตอนต่อไปต้องจัดเตรียมโรงพิธี และเครื่องบัดพลี สำหรับโรงพิธีจัดทำในโบสถ์มีราชวัตรฉัตรธง ส่วนภายนอกด้านหน้าโบสถ์ มีการสร้างเป็นชั้นแคร่สูงเพื่อวางเครื่องบัดพลีด้วย มีการชุมนุมเทวดา เครื่องสังเวยประกอบด้วยหัวหมู บายศรี อาหารคาวหวาน ตลอดจนผลไม้ เช่นมะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำว้า ปูลาดด้วยผ้าขาว ปักธง 7 สี ขันลงหินใส่น้ำ

เมื่อเตรียมการเสร็จ พอได้ฤกษ์ยามตามกำหนด หลวงพ่อจะจัดแจงบูชาครูเข้าสูปะรัมพิธีสร้างวัว ส่วนผู้ที่จะเข้าร่วมพิธีปั้นวัวต้องเป็นพระทั้งหมด พระที่เข้าร่วมพิธีต้องปลงอาบัติก่อน แล้วท่านก็เอาครั่งทั้งหมดหยิบบริกรรมใส่ลงกระทะ ให้พระทำการเคี่ยวครั่ง ส่วนท่านจะนั่งบริกรรมคาถาตลอดเวลา จนกระทั่งครั่งละลายแล้วจึงนำผงพุทธคุณโรยใส่ผสมกวนให้เข้ากัน จากนั้นหลวงพ่อพุฒก็เรื่มจารอักขระในแผ่นทองแดงม้วนเป็นตะกรุด แล้วบรรจุที่ลวดทองแดงตรงช่วงคอ แล้วให้พระช่วยกันหยิบครั่งมาพวกปั้นเป็นรูปวัว ส่วนหลวงพ่อจะนั่งบริกรรมคาถาอยู่ในประรัมพิธี เมื่อปั้นได้ครบตามฤกษ์ ก็นำวัวมาตั้งเรียงกันโดยมี "วัวครู" วางข้างหน้า แล้วหลวงพ่อก็ทำพิธีปลุกเสกเมื่อเสร็จแล้วท่านจะใช้ทองคำเปลวปิดตรงหน้าผากพร้อมกับเจิมด้วยแป้ง แล้วประพรมน้ำมนต์เป็นอันเสร็จพิธี

การสร้างวัวธนูของหลวงพ่อพุฒแต่ละครั้ง ท่านบอกทำยากมาก กว่าจะหาครั่งพุทราได้ บางครั้งเดินทางไปไกลเช่น อุตรดิตถ์ ลำปาง นครราชสีมา ฯลฯ บางคราวเดินทางไปเอาครั่งได้เพียงกิ่งเดียวเท่านั้น กว่าจะรวบรวมสะสมครบตามกำหนดต้องใช้ระยะเวลาแรมปี บางปีไม่ได้เลยก็มี วัวธนูที่หลวงพ่อพุฒได้สร้างขึ้น มี 2 ขนาดคือ ขนาดตัวใหญ่ไว้บูชาอยู่กับบ้าน ขนาดตัวเล็กใช้ห้อยคอติดตัว

หลวงพ่อพุฒท่านว่าจะสร้างแต่ละครั้งทำได้ยากมาก ต้องหาฤกษ์หายาม หาครั่งเกาะกิ่งพุทรากิ่งชี้ไปทางทิศตะวันออก บางครั้งจึงให้ลูกศิษย์ที่อยู่ต่างจังหวัดหามาให้ มิฉะนั้นวัวธนูจะไม่ขลัง มีคนจะมาขอเช่าไปบูชาวัวธนูทีละหลายๆตัว หลวงพ่อพุฒบอกไปว่า เอาไว้แงให้คนอื่นเขาบ้าง บางคนเดินทางมาไกล หากไปหาเกิดไม่ได้สงสารเขานะ นับว่าหลวงพ่อท่านเมตตาต่อทุกคนที่เข้าไปหา ไม่ว่าใครก็ตามหากมีโอกาสเดินไปกราบนมัสการ รับประกันได้ไม่มีผิดหวังครับ ปัจจุบันท่านมรภาพแล้วครับ

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วัวธนู ควายธนู หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง

วัวธนู ควายธนู เครื่องรางของขลัง หลวงพ่อน้อย ซึ่ง วัวธนู ควายธนู เครื่องรางของขลัง หลวงพ่อน้อย นี้เป็นของขลังสายเขมรที่ไม่ธรรมดา แท้จริงแล้วเรื่องของวัวและควายธนู เป็นเครื่องรางของขลังทางฝั่งลาวและเขมรแต่ต่อมาได้เข้ามาสู่แผ่นดินสยามเมื่อคราวมีการอพยพไพร่พลเข้ามา




หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง นครปฐม ท่านเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในพระเวทย์สายนี้เป็นอย่างมากท่านสร้างและปลุกเสกวัวธนูและควายธนูเอาไว้เฝ้าบ้านป้องกันเสนียดจัญไรจากคุณไสยลมเพลมพัด




หลวงพ่อน้อย ท่านเอาทองแดงมาขึ้นเป็นรูป จากนั้นพอกด้วยครั่งผสมผงอาถรรพ์ 108 ลงรักปิดทองก็มี ท่านเสกด้วยคาถาที่เข้มขลังจากสายลาว เสกจนวัวธนู-ควายธนูหันหัวไปซ้ายไปขวาได้ พระเกจิรุ่นเก่าท่านขลังศักดิ์สิทธิ์จิตสูงจึงทำได้




คนโบราณเรียกวัวของท่านว่า วัวปั้นหุน ดังคำภาษิตที่เขายกเอาไว้ให้เป็นเบญจภาคีเครื่องรางของขลังว่า "ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ เสือหลวงพ่อปาน หนุมานหลวงพ่อสุ่น วัวปั้นหุ่นหลวงพ่อน้อย ศรีษะทอง เบี้ยแก้กันของวัดนายโรง"








วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตะกรุด หลวงพ่อทบ วัดชนแดน

เรื่องอภินิหารตะกรุดโทนของหลวงพ่อทบนั้นจะยกมาเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง คือในราวปีพ.ศ.2517 ตอนนั้นในอำเภอวิเชียรบุรี มีเรื่องพิพาทเกี่ยวกับที่ดินมาก ผู้ใหญ่ประเสริฐ ได้ถูกคุกคามจากผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง จะฮุบเอาที่ดินของผู้ใหญ่ประเสริฐ แต่ไม่สำเร็จ ผู้มีอิทธิพลคนนั้นจึงสั่งลูกน้องให้ฆ่าล้างครัว ผู้ใหญ่ประเสริฐจึงพาครอบครัวไปกราบมนัสการหลวงพ่อทบ พร้อมทั้งเล่าเรื่องต่างๆ ให้หลวงพ่อทบฟัง
หลวงพ่อทบท่านจึงได้ทำน้ำมนต์อาบให้ทุกๆ คน จากนั้นท่านก็มอบตะกรุดโทนให้กับผู้ใหญ่และลูกชาย ส่วนภรรยาและลูกสาวท่านได้มอบเหรียญรูปท่านกับสีผึ้งให้ไป ก่อนกลับผู้ใหญ่ได้ถวายเงินจำนวน 500 บาทให้หลวงพ่อทบ แต่ท่านไม่รับ ท่านบอกผู้ใหญ่ว่า "เก็บเอาไว้เถอะยังมีความจำเป็นต้องใช้อีกมาก วันๆ ข้าไม่ใช้เงินอยู่แล้ว" จากนั้นท่านก็ให้พรผู้ใหญ่ และกำชับว่ากลางค่ำกลางคืนไม่มีธุระจำเป็นจริงๆ แล้ว อย่าออกไปไหนเป็นอันขาด มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายได้
เมื่อกลับจากวัดแล้ว ทุกคนต่างก็มีกำลังใจที่จะต่อสู้ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง ผู้ใหญ่ได้บอกกับลูกเมียให้ทำที่กำลังให้มั่นคง กลางคืนหากมีใครมาเรียกอย่าขานรับโดยเด็ดขาด ผู้ใหญ่กับลูกชายมีอาวุธครบมือ เพื่อรับกับเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น เวลาที่ผ่านมานานนับเดือนก็ไม่มีเหตุร้ายใดๆ อยู่มาวันหนึ่งแกรู้สึกตัวในตอนดึก และหิวน้ำจึงลุกขึ้นไปดื่มน้ำ สายตาของผู้ใหญ่ก็เห็นคนกำลังเดิมจะมาเปิดประตูขึ้นบ้าน ผู้ใหญ่จึงหยิบปืนลูกซองที่เตรียมไว้ยิงทันที เสียงปืนดังแชะ ผู้ใหญ่ยังไม่ละความพยายาม ขึ้นนกยิงอีกนัด เสียงปืนดังแชะเหมือนเดิม และแล้วบุรุษผู้มาในยามวิกาลได้ร้องขึ้นว่า "พ่อทำอะไรนะ ฉันเอง" เท่านั้นเองปืนลูกซองแทบหล่นจากมือ แกรีบเดินไปเปิดประตูและสวมกอดลูกชาย แล้วถามว่า "เอ็งหรอกหรือไอ้ทิด แล้วเอ็งออกไปทำไมตอนดึกดื่มเที่ยงคืนอย่างนี้" ลูกชายก็ตอบว่า "ฉันปวดท้องเบาจึงลุกไปฉี่ข้างนอก" ผู้ใหญ่ยกมือท่วมหัวแล้วพูดว่า "เป็นเพราะบารมีตะกรุดหลวงพ่อแท้ๆ ที่ช่วยไม่ให้พ่อต้องฆ่าลูกในไส้" ในตัวของลูกชายผู้ใหญ่มีตะกรุดโทนของหลวงพ่อทบเพียงดอกเดียวเท่านั้น
เหตุการณ์ที่มีผู้ประสบเกี่ยวกับตะกรุดหลวงพ่อทบ ส่วนมากจะถูกยิงแต่กระสุนด้านเป็นส่วนมากครับ พวกทหารที่ไปรบที่เขาคล้อ ภูหินร่องกล้าต่างก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับตะกรุดของหลวงพ่อทบกันมาก ชาวเพชรบูรณ์ต่างก็ห่วงแหนตะกรุดของหลวงพ่อทบมากครับ

ตะกรุด หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

ตะกรุดหลวงปู่ศุข (พระครูวิมลคุณากร) วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ตามประวัติท่านจะทำตะกรุดใต้น้ำ ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ของทุกปี หากปีไหนตรงกับ วันเสาร์ ยิ่งดียิ่งแกร่ง เพราะเป็นวันแข็ง โดยท่านจะระเบิดน้ำลงไปนั่งบริกรรมจุดเทียนใต้น้ำ ลงไปจารตะกรุดในแม่น้ำหน้าวัด และที่หนองท่าเรือทอง ใกล้กับวัดของท่าน
มื่อท่านจารเสร็จแล้ว จะปล่อยตะกรุดให้ลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ตะกรุดดอกไหนไม่ลอยขึ้นมา เป็นอันใช้ไม่ได้ และตัวท่านจะตามขึ้นมาจากน้ำ โดยร่างกายของท่าน ตลอดจนสบงจีวรที่ท่านสวมใส่ จะไม่เปียกน้ำแต่ประการใด

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตะกรุด หลวงพ่อสุด วัดกาหลง


26 ก.พ. 2524 " ตี๋ใหญ่ " หรือ กรประเสริฐ ช่างเขียน ได้จบชีวิตลงใกล้กลับวัดกาหลงสมุทรสงคราม ตี๋ใหญ่ถูกกระสุนปืนตำรวจนานาชนิดยิงเข้าใส่ขณะอยู่ในรถปิกอัพชื่อเสียงของ "ตี๋ใหญ่" ระบือไปทั่วเมืองว่ามีวิชาอาคมและหนังเหนียว เคยแหวกวง-ล้อมตำรวจนั้บครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งสำคัญคือการณ์ฝ่าวงล้อมที่บ้านพักภารโรง รร.เขมาภิรตาราม จ.นนทบุรี ตี๋ใหญ่ยิงตำรวจตายไป 1 นาย ก่อนจะหลบหนีไปใด้สำเร็จตำรวจตั้งด่านสกัดตรวจตราอย่างเต็มที่แต่ก็คว้าน้ำเหลว
ครั้นข่าวกระจายออกไปสู่ประชาชน ทำให้เกิดข่าวรือว่าตี๋ใหญ่หายตัวได้บ้าง บ้างก็ว่าคงกระพันชาตรี ใช้วิชากำบังไพร เพราะตำรวจตรวจค้นบริเวณศาลเจ้าแม่ทับทิมอยู่ในซ.วัดกำแพง พบใบมะละกอ 4 ใบ ถูกขยำวางไว้ที่ศาล





ข่าวแจ้งว่าก่อนตี๋ใหญ่จะจบชีวิต เขาได้ลืมตะกรุดโทนและเขี้ยวเสือที่รับจากหลวงพ่อสุดมา อยู่ในซ่องมหาชัย แต่ค้นหาอย่างไรก็ไม่เจอ จึงต้องบากหน้ามาที่วัดกาหลง






วันนั้นตี๋ใหญ่เดินทางไปวัดกาหลง เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อสุด เพื่อให้ท่านปลุกเสกตะกรุดโทนดอกใหม่ให้ โดยที่ตนเองไม่ระแคะระคายเลยว่ามีตำรวจนอกเครื่องแบบเกือบร้อยคอยจับตาอยู่เป็นระยะ..ที่วัดกาหลงตี๋ใหญ่ไม่พบหลวงพ่อสุด อาจจะเป็นว่าพระคุณเจ้ารู้ด้วยญาณ ศิษย์จะมาหาและคงหยั่งรู้ชะตาของศิษย์ขาดสะบั้น เพราะดำเนินชีวิตเบียดเบียนผู้อื่น จึงออกไปทำกิจนอกวัด เพื่อให้ศิษย์เดินไปตามคันลองของกฎแห่งกรรมความขมังเวทของหลวงพ่อสุด แห่งวัดกาหลง ซึ่งตี๋ใหญ่ให้ความนับถือว่ามีวิชาอาคมหลายอย่าง เช่น วิชากำบังตัวกล่าวกันว่าวิชานี้ ตี๋ใหญ่ เรียนบริกรรมคาถาจนขึ้นใจ หลายครั้งที่ตำรวจล้อมปรามแบบจนมุมไม่มีทางหนี เขาจะกำเอาเศษดิน เศษไม้ใบหญ้าขึ้นอาราธนาคาถาแล้วโปรยหว่านรอบตัว เอาปืนเหน็บเอวแล้วเดินฝ่าวงล้อมตำรวจโดยที่ไม่มีใครมองเห็นมาแล้ว

ตะกรุดโทนของหลวงพ่อสุดนั้นเป็นตะกรุดดอกใหญ่ทำจากตะกั่ว หลวงพ่อลงมือจารด้วยตัวเอง เป็นการจารทีละตัวและท่องคาถากำกับแล้วปรุกเสกครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นเอาด้ายมามัดหุ้มตัวตะกร้ออีกทีแล้วก็ว่าด้วยคาถากำกับเป็นอันเสร็จพิธี สำหรับตะกรุดโทนที่ตี๋ใหญ่ใช้นั้นหลวงพ่อสุดใช้เวลาปลุกเสกเป็นพิเศษถึง 3 ไตรมาส และตะกรุดโทนนี้เองที่ทำให้ตี๋ใหญ่คงกระพันชาตรี นอกจากตะกรุดโทนแล้วยังมียันต์ตะกร้ออีกด้วยหลวงพ่อสุด ศิริทฺโร มรณภาพในปี 2526 ภายหลังจากตี๋ใหญ่ถูกสังหาญไปแล้ว 2 ปีรวมศิริอายุได้ 81 ปี...

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตะกรุด

" ตะกรุด " เป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่ผูกพันกับคติความเชื่อในสังคมไทยมาช้านาน โดยเฉพาะในการรบทัพจับศึกเข้าสู่สนามรณรงค์สงคราม พระ บรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ประทับนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ในมหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ที่พระรูปขององค์สมเด็จฯ ท่านคล้องไว้ด้วยตะกรุดดอกใหญ่ เรียงเป็นแนวยาวพาดพระอังสะ ในลักษณาการเฉียงลงถึงบั้นพระองค์ มีสายตะกรุด ๑๖ ดอก คล้องเป็นแนวยาวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โบราณเรียกกันว่า "ตะกรุดโสฬส" พระองค์ท่านสะพาย ๒ เส้น เป็นหนึ่งในความนิยมประเภทเครื่องรางของพระเกจิอาจารย์แต่ละยุคสมัยคงไว้ ซึ่งความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ดีในทางแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ป้องกันภยันตราย ภัยพิบัติทั้งปวง รวมทั้งด้านเมตตามหานิยม ค้าขาย โชคลาภ กลับดวง พลิกชะตา เลื่อนยศ ร้ายกลายเป็นดี

บรรดาเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษนิยมสร้าง ตะกรุด เพื่อป้องกันอันตรายและ ตะกรุด ก็ มีพัฒนาการเรื่อยมาจากดอกใหญ่หนาสำหรับการออกศึกสงคราม ก็ค่อยๆ ลดขนาดลง หรือใช้วัสดุประเภทไม้สร้าง บางทีก็จัดทำเป็นดอกเล็กๆ ในลักษณะเครื่องรางติดตัวหรือสามารถตอกฝังเข้าไปในร่างกายได้




ตะกรุด ถือเป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ทำด้วยโลหะบ้าง อโลหะบ้าง เช่นแผ่นตะกั่ว แผ่นเงิน แผ่นทอง หรือทองแดง บางครั้งก็ใช้ไม้ไผ่ หรือกระดูกสัตว์ก็มี เมื่อได้วัสดุตามต้องการแล้ว ก็จะทำการลงอักขระ หรือผูกเป็นยันต์ โดยส่วนใหญ่จะเป็นบทสรรเสริญพุทธคุณ มีความเชื่อที่ว่า ตะกรุดสามารถคุ้มครองผู้ครอบครอง หรือสร้างความมีเสน่ห์เมตตาให้แก่ผู้พบเห็นได้




ตะกรุด ทำมาจาก วัสดุต่างๆมากมายตามตำราของครูบาอาจารย์แต่ละท่านแต่ที่พบโดยทั่วไปจะเป็น การนำโลหะแผ่นบางๆ อาจจะเป็น ทองคำ เงิน นากตะกั่ว หรือโลหะธาตุผสมอื่นๆ มาลงอักขระเลขยันต์โดยครูบาอาจารย์ ซึ่งจะใช้เหล็กจารเขียนพระคาถาผูกขึ้นเป็นมงคล ก่อนที่จะม้วนให้เป็นแท่งกลม โดยมีช่องว่างตรงแกนกลาง สำหรับร้อยเชือกติดตัวไปไหนต่อไหน อาจนำมาหล่อหลอมรวมกันแล้วทำเป็นตะกรุดหล่อโบราณ ทำจากรางน้ำฝน , ทำจากกาน้ำ , ทำจากใบลาน ตัดเป็นแผ่นก่อนแช่น้ำแล้วนำมาม้วนเป็นทรงกลม , ทำจากหนังสัตว์ เช่น หนังเสือ , หนังหน้าผากเสือ , หนังงู ,หนังเสือดาว ,หนังลูกวัวอ่อนตายในท้องแม่ หรือจากกระดูกสัตว์ ตะกรุดกระดูกช้าง , ตะกรุดจากเขาวัวเผือก หรือจากไม้มงคลต่างๆ เช่น ไม้ไผ่ ซึ่งมีทั้ง ไผ่ตัน และ ไผ่รวก ไม้คูณ ไม้ขนุน ปัจจุบันก็มีรูปแบบใหม่ขึ้นมาโดยทำมาจากปลอกลูกปืน อาศัยนัยยะว่า แม่ไม่ฆ่าลูก แล้วอาจจะถักด้วยเชือก ด้ายมงคล พอกด้วยผงยา จินดามณี แล้วนำไปจุ่มหรือชุบรัก ปิดทอง ตามตำรา








วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก จ.ประจวบ


หนึ่งในเกจิอาจารย์ที่สร้างตำนาน “ปลัดขิก” จนดังสะท้านประเทศก็คือ “หลวงพ่อยิด จนฺทสุวณฺโณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองจอก อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ วิทยาคมของท่านนั้นแก่กล้าขนาดที่ว่า สามารถเสกปลัดขิกบินรอบวัด ก่อนจะแจกจ่ายให้ญาติโยม นี่คือเรื่องจริงที่หลายๆ คนได้ประจักษ์กับสายตามาแล้ว หลวงพ่อเกิดในสกุล “สีดอกบวบ” เมื่อวันอังคารที่ 10 มิ.ย. 2467 ณ บ้านหัวหรวด ต.นาพันสาม อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 7 คน ของนายแก้ว และ นางพร้อย สมัยเด็กไปอยู่กับหลวงพ่อหวล (มีศักดิ์เป็นน้า) ที่วัดประดิษฐนาราม (วัดนาพรม) จนกระทั่งบวชเป็นเณรเมื่ออายุ 9 ขวบ และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ ภาษาขอม เลขยันต์ พร้อมกับเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง อายุ 14 ปีลาสิกขาออกมาช่วยครอบครัว ซึ่งย้ายไปประกอบอาชีพ ที่อ.กุยบุรี จนอายุ 20 ปีก็กลับมาอุปสมบทที่วัดนาพรม มีหลวงพ่ออินทร์ (เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรีขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหวล เป็นพระกรรมวาจารย์ พระอาจารย์พ่วง วัดสำมะโรง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า “จนฺทสุวณฺโณ” มีความหมายว่า “ผู้มีวรรณะดุจพระจันทร์” ต่อมาบิดาเสียชีวิต ท่านจึงลาสิกขาออกมาดูแลมารดา และได้มีครอบครัว อยู่กินกับนางธิติจนมีบุตรหนึ่งคน ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งในปี พ.ศ.2517 ณ วัดเกาะหลัก จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังจากนั้นได้มาจำพรรษาที่วัดทุ่งน้อย ต.เขาแดง อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาผู้มีจิตศรัทธาซึ่งเลื่อมใสในตัวท่านได้มอบที่ดิน 21 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ต.ดอนยายหนู อ.กุยบุรี ให้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ชื่อ “สำนักสงฆ์พุทธไตรรัตน์” เมื่อปี พ.ศ.2518 ก่อนจะขออนุญาตสร้างเป็นวัดเมื่อปี พ.ศ.2527 ตั้งชื่อว่า “วัดหนองจอก” ปี พ.ศ.2535 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงประทานพัดยศแก่ท่าน เป็น “พระครูนิยุตธรรมสุนทร” หลวงพ่อยิดนั้นได้ชื่อนักพัฒนาที่มีฝีมือรูปหนึ่ง เห็นได้จากการสร้างสรรค์พัฒนาให้วัดหนองจอก จนเป็นวัดที่สมบูรณ์มีถาวรวัตถุทางศาสนาครบ ยากที่จะหาวัดใดๆ สร้างได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ ท่านยังพัฒนาจิตใจและการศึกษาของเด็กและเยาวชนอย่างเต็มที่ โดยสนับสนุนด้านทุนการศึกษา,ทุนอาหารกลางวันแก่โรงเรียนหลายแห่งใน จ.ประจวบฯ รวมทั้งร่วมสร้างสาธารณประโยชน์แก่สถานที่ราชการและหน่วยราชการมากมาย สมัยยังชีวิต ท่านมีกิจนิมนต์ในการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังทั่วประเทศจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ในวันเสาร์ 5 ท่านปลุกเสกวัดแรกที่ จ.นครสวรรค์ วัดสุดท้ายที่วัดหนองจอก แต่ละวัดจะปลุกเสกวัดละ 30 นาที รวมทั้งหมดวันเดียวปลุกเสก 9 วัด การรับแขกของหลวงพ่อยิดแต่ละวันนั้น บางวันแทบไม่ได้ลุกไปห้องน้ำเลย นอกจากฉันอาหารเพลเท่านั้น แม้แต่ยามอาพาธ ก็ยังแสดงความอดทน ออกมาต้อนรับญาติโยมเหมือนไม่เป็นอะไรเลย ยิ่งเรื่องการเขียน การจารวัตถุมงคลด้วยแล้ว บางวันถึงขนาดไม่ได้ฉันข้าวก็มี เมื่อเขียน,จารเสร็จแล้ว ท่านจะเอานิ้วที่ซีดแนบเนื้อติดกระดูกให้ผู้อยู่ใกล้ชิดดู จนต้องช่วยกันบีบนวดให้เพราะสงสารท่าน พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ส่วนมากจะมีปัญหาเกี่ยวกับผู้ใกล้ชิด ลูกศิษย์ กลุ่มพุทธพาณิชย์ หาผลประโยชน์จากการสร้างวัตถุมงคลเพื่อหวังผลกำไรจำนวนมหาศาล เช่นเดียวกับหลวงพ่อยิดซึ่งมีหลายกลุ่ม แต่ท่านจะไม่ว่าอะไรใครทั้งสิ้น เมื่อมีผู้ถาม ท่านก็จะตอบว่า “ใครที่ประพฤติตนหาผลประโยชน์จากพระ บุคคลนั้นต่อไปจะยากจน เพราะตัวเองจะป่วย แล้วก็ใช้เงินจากการจำหน่ายพระมารักษาตัวจนหมดสิ้น และชีวิตก็จะอยู่ไม่มีความสุขภายในครอบครัว” และวาจาท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเสียด้วย เพราะมีหลายคนที่เป็นไปตามคำพูดนั้น เรื่องแปลกของหลวงพ่อยิดเรื่องหนึ่งก็คือ ท่านสรงน้ำปีละครั้ง ในเดือน 4 ในวันอาทิตย์แรกของข้างแรม สาเหตุก็เนื่องมาจาก ท่านได้รับปากกับอาจารย์ที่สอนวิชาอาคมให้สมัยที่ยังเป็นฆราวาส เมื่อเรียนจบแล้ว ท่านก็อาบน้ำ จนกระทั่งบวชเป็นพระก็สรงน้ำปีละครั้งตลอดมาจนมรณภาพ ลูกศิษย์และผู้เคารพศรัทธาจะเอาแปรงทองเหลืองขัดตัวท่าน ท่านจะยิ้มเพราะไม่เจ็บ และไม่ระคายผิวหนังแม้แต่น้อย กระทั่งปี พ.ศ.2535 เป็นต้นมา จึงงดใช้แปรงขัดเนื่องจากหมอขอร้อง เพราะแม้ผิวหนังท่านจะคงกระพันจริง แต่เนื้อและเส้นโลหิตไม่ได้คงกระพันด้วย อาจจะเป็นอันตรายได้ ท่านมักจะสอนศิษย์เสมอว่า การที่จะปลุกเสกวัตถุมงคลให้ขลังนั้นจะต้องมีสมาธิ และสัจจะ โดยเฉพาะสัจจะสำคัญมาก เพราะฉะนั้น วัตถุทุกชนิดเมื่อผ่านการปลุกเสกจากท่าน จึงเชื่อถือกันว่ามีความขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก ที่โด่งดังและรู้จักกันดีทั่วประเทศก็คือ

“ปลัดขิก” ซึ่งท่านปลุกเสกจนกระดุกกระดิกเคลื่อนไหวได้ เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น แม้แต่ผู้ที่มีความรู้เป็นถึงนักเรียนนอกอย่าง ม.ล.ปาณสาร หัสดินทร อดีตรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังนับถือ เพราะได้ประสบมากับตาตนเอง คุณวิเศษในปลัดขิกที่ผ่านการปลุกเสกจากท่าน ใช้ดีในทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ค้าขาย เรื่องแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ตะขาบ แตน ต่อ แมงป่อง เอาไปวนบริเวณที่กัดจะหายเป็นปลิดทิ้งทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อความศรัทธาเป็นที่ตั้ง

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หมู หลวงพ่อเส็ง วัดบางนา

ร่ำลือกันมานานในหมู่วินมอเตอร์ไซด์รับจ้างในจังหวัดอยุธยา เขตรอยต่อกับจังหวัดปทุมธานีว่า “หมูทองแดง” ของหลวงพ่อเส็ง วัดบางนา เหนียวสุด ๆ ขนาดปอเต็กตึ๊งยังเมิน เรื่องที่เล่าขานไม่รู้เบื่อดังว่า เนื่องมาจากมีนักขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง โดนสิบล้อรอรัก เสยกระเด็นไปนับสิบเมตร นอนแน่นิ่ง ไม่ไหวติง ถึงขนาดที่ว่าต้องนอนอ่านหนังสือพิมพ์กลางถนนเลยทีเดียว เพราะนึกว่าเด๊ดสะมอเร่แหงแก๋แต่พอนำส่ง โรงพยาบาล หมอดูแล้วว่ายังมีลมหายใจอยู่ แสดงว่ายังไม่ตาย เพราะยมบาลท่านคงจะลาพักร้อนในช่วงนั้นพอดี ก็เลยทำการรักษา ปรากฎว่านอนหยอดน้ำเกลือครบ ๓ เดือน ก็กลับมาขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างตามเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่กระมังที่เป็นเหตุให้บรรดาสิงห์แมงกะไซด์ทั้งหลายในอยุธยาเป็นจำนวนมาก ต่างก็ตะเวณหาหมูทองแดงเขี้ยวตันของหลวงปู่เส็ง วัดบางนา ปทุมธานี เพื่อนำมาห้อยคอกันเป็นแถว เพื่อเป็นใบรับประกันความปลอดภัยในอาชีพขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างของตน ว่าไงซะ ก็ไม่ตายโหงเป็นแน่แท้

ครุฑ หลวงปู่เส็ง วัดบางนา จ.ปทุมธานี

พ.ศ. ๒๕๒๒ ท่านเริ่มสร้างครุฑขึ้น เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า ครุฑมีฤทธิ์มาก ถึงขนาดนาคที่ว่ามีฤทธิ์มาก ก็ยังพ่ายแพ้แก่ครุฑ และครุฑเองก็เป็นพาหนะของพระนารายณ์ เป็นมหาอำนาจยำเกรงแก่คนทั่วไป ก็ปรากฎว่า ได้รับความนิยม มีประสบการณ์ต่าง ๆ มากมายอีกเช่นเคย มีคนเอาพระยาครุฑผูกติดปลายไม้ จี้ไปที่งูเห่า ปรากฎว่า งูเห่าหมดเรี่ยวแรง อ้าปากไม่ขึ้น นอนขดตัวนิ่งแข็งทื่อเลยทีเดียว ทำให้ชื่อเสียงของหลวงปู่เส็ง ก้าวขึ้นสู่ระดับเกจิชั้นแนวหน้าขึ้นมาทันที





พญาครุฑหลวงปู่เส็งนับว่าเป็นเจ้าตำรับและได้รับความนิยมสูงสุดออกมาเพียงครั้งเดียวสำหรับรุ่นที่นับว่าเป็นรุ่นแรกจริงๆคือปี 22 นี้เท่านั้น มีจุดสังเกตุสำคัญที่พึงระวังคือเนื้อ ถ้าเห็นเป็นเนื้อดีบุกหรือนิเกิ้ลหรือกะหลั่ยเงินกะหลั่ยทองก็ เอวังฟันธง(ยกเว้นเจ้าของกะหลั่ยใช้เอง)โดยให้สังเกตุที่พิมพ์ด้วยของรุ่นนี้คำว่าพญาครุฑคำว่าหลวงพ่อจะอยู่ชิดขอบทั้งสองข้างปีก และหางเลข๒ตัวหน้าตรงพศ.จะชี้เกือบติดเลข 5 ของเลียนแบบบางรุ่นจะดูง่ายมากเพราะหลวงปู่ออกมาเฉพาะเนื้อผสมหนักทองเหลืองผสมนี้เท่านั้นถ้าเก็บไว้นานๆก็จะเป็นสีดำเหลื่อมเงาธรรมชาติแบบด้านหลังครุฑตัวนี้แต่ถ้าเลี่ยมเก็บแต่แรกก็จะยังคงความวาวของเนื้อเดิมๆ


คาถาบูชาพญาครุฑ
กาละพสนะ ปิปปะสะอุ อุตมังลสหิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะปะกะสะให้ชื่อเสียงของหลวงปู่เส็ง ก้าวขึ้นสู่ระดับเกจิชั้นแนวหน้าขึ้นมาทันที


วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การพิจารณาเสือ ของหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย

เสือหลวงพ่อปานแบบมาตรฐานนิยมนั้น ต้องอยู่ในลักษณะ เสือนั่งชันขาหน้า หางม้วนรอบฐาน หรือม้วนพาดขึ้นหลัง มีทั้งเสือนั่งหุบปาก และเสืออ้าปาก นิ้วเท้าแต่ละเท้าโดยมากมี 4 นิ้ว แต่มีบางตัวมีแค่ 3 นิ้วก็มี หลักการดูเสือหลวงพ่อปาน นี้ท่องกันมาเป้นคำกลอนว่า "เสือหน้าแมว หูหนู ตาลูกเต๋า ยันต์กอหญ้า" เมื่อดูพิมพ์เข้าเค้าแล้ว ต่อไปต้องพิจารณา ความเก้าของเนื้อเขียวกันต่อไปละครับทีนี้ ต้องเก่าจัด และมีเนื้อฉ่ำ การพิจารณา



1. เสือหลวงพ่อปาน ต้องแกะจากเขี้ยวเสือเท่านั้น จะไม่แกะจากกระดูก หรือวัสดุอื่นใด เขี้ยวจะต้องมีเนื้อทึบ จะไม่ใส (ถ้าใสจะเป็นวัสดุประเภทเรซิ่น ที่ทำเลียนแบบขึ้นมา ควรระวังให้มาก กันโดนต้มครับ)






2. เขี้ยวเสือ ที่นำมาแกะมีทั้งแบบเต็มเขี้ยวทั้งอัน และเขี้ยวครึ่งซีก (เรียก เขี้ยวซีก) เขี้ยวเต็มอันจะมี "รูกลม" ตรงกลางผ่านตลอดจากด้านบนสู่ด้านล่าง และต้องมีรอยแตกอ้าทุกเขี้ยว ส่วนเขี้ยวครึ่งซีกจะไม่มีรอยแตกอ้า เขี้ยวด้านหนึ่งต้องมีสีอ่อน อีกด้านจะมีสีแก่ ด้านที่มีสีอ่อน นั้นคือ ด้านแกนในของเขี้ยวนั่นเอง ส่วนด้านที่มีสีแก่ คือด้านนอกของเขี้ยว "เขี้ยวจะมีสีเดียวกันทั้งตัวไม่ได้" ห้ามลืมครับ



3. ความเก่า ต้องพิจารณาจากความแห้งเก่า และความฉ่ำของเนื้อเขี้ยว เขี้ยวต้องมีความฉ่ำ กรณีเสือสภาพเดิม ผ่านการใช้บูชามาไม่มาก ผิวจะแห้งเก่า ผิวไม่ตึงเรียบนัก แต่เสือที่พบส่วนใหญ่จะผ่านการใช้ สัมผัสเหงื่อ น้ำมัน คราบไคลต่างๆของร่างกายคน สิ่งเหล่านี้จะซึมเข้าไปสู่เนื้อเสือส่งผลให้เนื้อเขี้ยว แลดู "ฉ่ำ" มาก ฉ่ำใสมีสี เหลืองอมขาวขุ่น ลักษณะเหมือนเช่นเทียนไข โดยเนื้อเขี้ยวควรมีสี "อ่อน-แก่" แลดูเป็นธรรมชาติ มีลายเนื้อในคล้ายๆลายสัปปะรดมีรอย "แตกลาน" เล็กๆ หน่อยๆเป็นกลุ่มๆ ซึ่งเกิดจากการที่เนื้อเซ็ทตัวแห้งลงตามธรรมชาติ จึงดึงให้เนื้อเขี้ยวหดตัวด้วย และให้ระวังเขี้ยวเสือที่ทำจากเรซิ่นด้วยครับ



4. รอยลงเหล็กจาร ก็เป็นจุดสำคัญในการพิจารณา ลักษณะการจารจะเป็นแบบหวัดๆ เส้นคมลึกไม่เท่ากัน จารเป้นขีดๆคล้ายๆลายเสือ จารอักขระยันต์คล้ายๆเลขเจ็ดไทย และเลขสามไทย ลายมือลงจารจะเอียงๆ แหลมๆ จะลงจารบริเวณลำตัว สะโพก และขาหน้า ถ้าน้ำหนักการลงเหล็กจารเท่าๆกันลงแบบไม่แน่ใจในการเขียน ลายเส้นไม่หนักเบา แต่ลึกเท่ากันทุกเส้นอันนี้ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยครับ


5. ใต้ฐาน จารยันต์กอหญ้า ลักษณะเป็นยันต์กลมๆ รีวนไปวนมา ซ้อนกันหลายวง และเป็น ฤ ฤา หรือ ตัวอุ ร่วมกันด้วยก็มีครับ










พุทธคุณ เสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย นั้นมีพุทธคุณครบเครื่องทั้งเมตตา แคล้วคลาด และคงกระพันชาตรี แต่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นทางด้านคงกระพันชาตรีครับ

ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย



ยุคสมัยของหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย นั้น อยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2411-2453 เป็นช่วงที่ท่านออกธุดงค์ เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนา รวมถึงเป็นเจ้าอาวาสวัดบางเหี้ยด้วยครับ ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็น "พระครูพิพัฒนนิสิรธกิจ" จวบจนกระทั่งเข้าสู่วัยชรา และถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2453 (รวมสิริอายุประมาณ 75 - 80 ปี)
หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยนั้นท่านเป็นคณาจารย์ ยุคเก่าสมัยโบราณ ถ้าผมจำไม่ผิดหลวงปู่สี วัดเข้าถ้ำบุญนาค เคยกล่าวถึงท่านไปเมื่อตอน มีคนถามท่านว่ารู้จักหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคไหม? ท่านตอบว่ารู้จักแต่หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย และกล่าวว่า "หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย นั่งเรือไม่ต้องแจวเรือ เรือแล่นได้เอง" หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย นั้นท่านมีชื่อเสียง ในเรื่องการสร้างตะกรุด ผ้ายันต์ต่างๆ รวมทั้งเครื่องรางประเภทอื่นๆมากหลายอย่าง ซึ่งปัจจุบันหาชมได้ยากมาก ใครมีต่างหวงแหนกันทุกคน การหาของแท้ๆ และทันยุคนั้น หาได้ยากเต็มทีครับ เพราะเครื่องรางที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ก็ขาด
การจดบันทึกไว้ ทำให้มีผู้รู้จริงยาก และเครื่องรางของท่าน บางครั้งผู้ที่ได้ไว้ในครอบครองก็ไม่ทราบว่าเป้นของคณาจารย์ท่านใด บางครั้งจะเป็นของหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ลูกศิษย์ ซึ่งขลังเหมือนกัน คนถูกยิงตกเรือไม่เข้ามาแล้วเหมือนกันครับ
ดังนั้น เครื่องรางที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสำนักนี้ และถือเป็นสุดยอดเครื่องรางที่มีค่าบูชาสูงในอันดับต้นๆในบรรดาเครื่องรางของขลัง ของพระเกจิอาจารย์ในยุคอดีต และปัจจุบัน นั่นคือ รูปเสือลอยองค์ ที่แกะมาจากเขี้ยวเสือจริงๆ ทั้งเต็มเขี้ยวบ้าง ครึ่งเขี้ยวบ้าง มีขนาดเล็ก ใหญ่ต่างๆกัน ตามแต่ลักษณะของเขี้ยวเสือที่ได้ชาวบ้านได้มา ฝีมือการแกะเป็นลักษณะของช่างฝีมือท้องถิ่นแท้ๆ แกะให้ท่านปลุกเสกเรื่อยๆ แลดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความขลัง และดูน่าครั่นคร้าม แลดูมีตบะมหาอำนาจสูงมาก ไม่เชื่อถ้าท่านมีลองนำมามองจ้องเสือดูซิครับ แลดูน่าเลื่อมใส ศรัทธามากครับ
มีเรื่องเล่ากันว่า การปลุกเสกเสือของหลวงพ่อปานนั้น ท่านจะต้องมีการเรียกธาตุ 4 คือ “นะ มะ พะ ทะ” เรียก รูป เรียกนาม ปลุกเสกจนกระทั่ง เสือนั้นเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิตจริงๆทีเดียวเชียว กำหนดอุคหนิมิต ให้เครื่องรางรูปเสือนั้นมีชีวิต โดยปลุกด้วยคาถาเฉพาะ หนึ่งในบทพระคาถาที่เคยได้รับทราบมา คือ คาถาพยัคคัง ฯ เล่ากันว่า เมื่อท่านปลุกเสกเสร็จขณะนั่งเรือไปท่านจะนำเสือนั้นเทลงคลอง จากนั้นท่านจะนำชิ้นหมูมาล่อข้างเรือ และบริกรรมคาถา สักพักเสือจะโดดขึ้นมาติดชิ้นเนื้อหมูโดยทันที เป็นอันว่าเรียบร้อยครับ แจกลูกศิษย์ลูกหาได้

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีการทำปลัดขิกและคาถาโบราณ


วิธีการทำปลัดขิกและคาถาโบราณ ดังนี้

* สิทธิการิยะ ถ้าจะทำปลัดขิกท่านให้เอาไม้แก่นคูณ หรือไม้มงคลที่มีพุทธคุณด้านแคล้วคลาดและมีเมตตามหานิยม นำมาแกะเป็นตัวปลัดขิกตามที่มีความชำนาญ แล้วลงอักระที่ตัวปลัดขิกดังนี้
อุ กัน หะ เน หะ ฯ
ให้ลงตัว อุ ที่หน้าประธาน
และลง กัน หะ เน หะ ที่ลำตัวของปลัดขิกข้างละสองตัว แล้วจึงให้นำเอาปลัดขิกไปปลุกเสกลงอาคมคาถาหัวใจโจร.
“ กันหะ เนหะ ”หัวใจโจรนี้ใช้ได้สารพัดทาง ทั้งคงกระพัน กันภัย เสกเหล้ากินก็ได้ เสกว่านกินก็ดี อยู่คงนักแล

คาถาปลุกเสกปลัดขิก

* โอมน้ำสามจอก กูจะกรอกขึ้นบนหลังคา
* โอมมะถอกขาว มะถอกเขียว
ถอกเยี่ยวรดผ้า ถอกฆ่าคนตาย
ถอกขายคนกิน ถอกอินทนิล
ถอกนอกฟ้าป่าหิมพาน ถอกกินบ้านกินเมือง
* โอมอีจอกจักรรัตน์ ยกกระบัตร์เมืองนนท์
ขุนพลลพบุรี ถือด้ายแหกหี ตีกรรเชียงถอกแตด
หนามขี้เร็ดเกี่ยวช้าง คนหีกว้างสะบักเดียก
หีสะบัดถอก นอนหงายแตดแห้ง นอนตะแคงแตดชุ่ม
* โอมลุ่มลุ่มทำเนาเอาเถิด

* โอมน้ำสามจอกรดถอกไม่เน่า ขี้เปาน้ำมะเนียก ขี้เปียกน้ำมะนาว แหกๆ แยกๆ พลุบๆ ผลั๊ว

* มนต์นี้ใช้เสกปลัดขิก ผูกติดเอวไว้ใช้สารพัด ทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ ผูกคาดเอวเด็กกันสารพัดตาลซาง กันภูติผี และแม่ซื้อดีนักแล ฯ

ปลักขิกนั้นเด่นทั้งเรื่อง คงกระพัน กันเขี้ยวงา และแคล้วคลาดปลอดภัย ป้องกันเสนียดจัญไร ภูตผีต่างๆ ส่วนในด้านเมตตามหาเสน่ห์นั้นก็มีอยู่ครบ แต่ที่จะโดดเด่นเห็นจะเป็นแค่ ๒ อย่าง คือ ทางคงกระพัน กันเขี้ยวงา และเมตตาค้าขาย อีกทั้งข้อดีของเครื่องรางประเภทนี้ คือ ไม่มีข้อห้ามยุ่งยากนักในการใช้ ตัดปัญหาเรื่องของความเชื่อที่ว่า ของจะเสื่อมเพราะการพลั้งเผลอไปลอดราวผ้าหรืออยู่ในที่อโคจรที่ไม่เหมาะไม่ควร.....

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปลัดขิก

ตั้งแต่โบราณเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยเรามีเกจิคณาจารย์ทั้งเก่าและใหม่ ไม่ว่าพระสงฆ์ หรือฆราวาส ได้สร้าง “ ปลัดขิก ” เอาไว้จำนวนมากมาย ส่วนความนิยมนั้นก็มากน้อยแตกต่างกันไป แต่ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ก็มีอยู่ด้วยกันหลายคณาจารย์ เช่น ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี ปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา ปลัดขิกของหลวงพ่อกลั่น วัดอินทราวาส จ.อ่างทอง ปลัดขิกของหลวงพ่อฟัก วัดนิคมประชาสรรค์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ หรือ ปลัดขิกของฆราวาสอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น











การสร้างปลัดขิก ตั้งแต่โบราณ ทำจากวัสดุด้วยกันหลายชนิด เท่าที่พบเห็นก็มีทำจากหินศักดิ์สิทธิ์ ทองเหลือง ทองแดง เงิน ทองคำ เขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์ งาช้าง และกัลปังหาจากท้องทะเล ส่วนประเภทที่สร้างจากไม้ นั้น ท่านได้ใช้ไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลในตัว เช่น แก่นจากไม้ต้นคูณ แก่นจากไม้ต้นมะขาม แก่นจากไม้ต้นขนุน และไม้อื่นๆ อีกหลายชนิด เป็นต้น แต่ “ ปลักขิก ”นั้นมีเคล็ดการใช้แตกต่างกันไป บางสำนักเวลานำมาใช้ก็มักให้ถูกเนื้อสัมผัสตัว คือคาดที่เอวให้โดนเนื้อตัวเจ้าของไว้ แต่อีกแบบหนึ่งนั้น นิยมแขวนปลัดขิกออกมาด้านนอกให้คนอื่นๆ เห็นจะยิ่งมีอานุภาพ คงเป็นอิทธิพลมาแต่เดิมที่จะใช้หลอกผี ให้เข้าใจว่า โตแล้วผีจะได้ไม่มายุ่ง ส่วนการให้ถูกเนื้อโดนตัวนั้นตามความคิดของผมเข้าใจว่า สิ่งต่างๆจะสมบูรณ์เมื่อธาตุทั้ง ๖ ประสานต่อเนื่องกันไป













ส่วนเรื่องอานุภาพหรือความขลังศักดิ์สิทธิ์ของปลัดขิกนั้น มีอานุภาพครบทุกด้านทุกประการ คาถาที่นิยมใช้ในการลงอักขระ ปลุกเสกกับปลัดขิก คือ หัวใจโจร ที่ว่า “ กัณ หะ เน หะ ” หรือคาถา “ หัวใจโจร ” ด้วยความหมายที่ว่า โจร เป็นผู้ทำลายล้าง การใช้หัวใจโจรจึงเป็นการใช้เกลือจิ้มเกลือ หนามยอกเอาหนามบ่ง ให้โจรทำลายล้างสิ่งไม่ดีต่างๆ ให้หมดไป