วัสดุที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ "ครั่งพุทรา"ที่เกาะอยู่บนกิ่งพุทราชี้ไปทางทิศตะวันออกอย่างน้อยจาก 3 ต้นขึ้นไป
ตามตำราของสมเด็จพระพนรัตนได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องเป็นกิ่งที่ชี้ไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น จึงจะใช้ได้ ถ้าเป็นกิ่งที่ตายพราย ให้ใช้เพียงกิ่งเดียวก็พอ จะเพิ่มอิทธิฤทธิ์มากยิ่งขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อพุฒได้เดินทางไปที่อำเภอเถินและได้เข้าไปในป่าพุทราได้พบครั่งเกาะอยู่บนกิ่งพุทราป่าที่ชี้ไปทางทิศตะวันออกตายพรายอยู่หลายสิบกิ่ง ท่านจึงให้ลูกศิษย์ขึ้นไปตัดและนำมาสร้างเป็น "วัวธนูครู" ตัวใหญ่ไว้ประจำตัว บูชาอยู่บนหิ้งในห้องส่วนตัวของท่าน ท่านบอกว่าวัวครูตัวนี้ไว้ควบคุมวัวธนูทุกตัว ทุกครั้งที่ท่านจะทำการสร้างและปลุกเสกวัวธนูจะต้องนำ "วัวธนู" ร่วมเป็นประธานในการปลุกเสกด้วยทุกครั้ง
ตอนนี้กลับมาที่วัตถุประกอบการสร้าง "วัวธนู" ต่อไป เมื่อหาครั่งพุทราเกาะกิ่งชี้ไปทางทิศตะวันออกได้แล้ว สิ่งที่ต้องจัดหาอีกก็คือ ลวดทองแดง และแผ่นทองแดง นำไปตัดทำโครงซึ่งเป็นโครงชั้นในทำง่ายๆ โดยดัดให้เป็นแกนตัว ขา คอ หาง และขา
โครงตัวช่วงคอบรรจุตะกรุดในพิธีก่อนนำเอาครั่งห่อหุ้ม ตะกรุดดังกล่าวลงอักขระเหล็กจารและม้วนในพิธีนั้น และต้องเตรียมแป้งเจิม แผ่นทองคำเปลวไว้ปิดตรงหน้าผากด้วย ขั้นตอนต่อไปต้องจัดเตรียมโรงพิธี และเครื่องบัดพลี สำหรับโรงพิธีจัดทำในโบสถ์มีราชวัตรฉัตรธง ส่วนภายนอกด้านหน้าโบสถ์ มีการสร้างเป็นชั้นแคร่สูงเพื่อวางเครื่องบัดพลีด้วย มีการชุมนุมเทวดา เครื่องสังเวยประกอบด้วยหัวหมู บายศรี อาหารคาวหวาน ตลอดจนผลไม้ เช่นมะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำว้า ปูลาดด้วยผ้าขาว ปักธง 7 สี ขันลงหินใส่น้ำ
เมื่อเตรียมการเสร็จ พอได้ฤกษ์ยามตามกำหนด หลวงพ่อจะจัดแจงบูชาครูเข้าสูปะรัมพิธีสร้างวัว ส่วนผู้ที่จะเข้าร่วมพิธีปั้นวัวต้องเป็นพระทั้งหมด พระที่เข้าร่วมพิธีต้องปลงอาบัติก่อน แล้วท่านก็เอาครั่งทั้งหมดหยิบบริกรรมใส่ลงกระทะ ให้พระทำการเคี่ยวครั่ง ส่วนท่านจะนั่งบริกรรมคาถาตลอดเวลา จนกระทั่งครั่งละลายแล้วจึงนำผงพุทธคุณโรยใส่ผสมกวนให้เข้ากัน จากนั้นหลวงพ่อพุฒก็เรื่มจารอักขระในแผ่นทองแดงม้วนเป็นตะกรุด แล้วบรรจุที่ลวดทองแดงตรงช่วงคอ แล้วให้พระช่วยกันหยิบครั่งมาพวกปั้นเป็นรูปวัว ส่วนหลวงพ่อจะนั่งบริกรรมคาถาอยู่ในประรัมพิธี เมื่อปั้นได้ครบตามฤกษ์ ก็นำวัวมาตั้งเรียงกันโดยมี "วัวครู" วางข้างหน้า แล้วหลวงพ่อก็ทำพิธีปลุกเสกเมื่อเสร็จแล้วท่านจะใช้ทองคำเปลวปิดตรงหน้าผากพร้อมกับเจิมด้วยแป้ง แล้วประพรมน้ำมนต์เป็นอันเสร็จพิธี
การสร้างวัวธนูของหลวงพ่อพุฒแต่ละครั้ง ท่านบอกทำยากมาก กว่าจะหาครั่งพุทราได้ บางครั้งเดินทางไปไกลเช่น อุตรดิตถ์ ลำปาง นครราชสีมา ฯลฯ บางคราวเดินทางไปเอาครั่งได้เพียงกิ่งเดียวเท่านั้น กว่าจะรวบรวมสะสมครบตามกำหนดต้องใช้ระยะเวลาแรมปี บางปีไม่ได้เลยก็มี วัวธนูที่หลวงพ่อพุฒได้สร้างขึ้น มี 2 ขนาดคือ ขนาดตัวใหญ่ไว้บูชาอยู่กับบ้าน ขนาดตัวเล็กใช้ห้อยคอติดตัว
หลวงพ่อพุฒท่านว่าจะสร้างแต่ละครั้งทำได้ยากมาก ต้องหาฤกษ์หายาม หาครั่งเกาะกิ่งพุทรากิ่งชี้ไปทางทิศตะวันออก บางครั้งจึงให้ลูกศิษย์ที่อยู่ต่างจังหวัดหามาให้ มิฉะนั้นวัวธนูจะไม่ขลัง มีคนจะมาขอเช่าไปบูชาวัวธนูทีละหลายๆตัว หลวงพ่อพุฒบอกไปว่า เอาไว้แงให้คนอื่นเขาบ้าง บางคนเดินทางมาไกล หากไปหาเกิดไม่ได้สงสารเขานะ นับว่าหลวงพ่อท่านเมตตาต่อทุกคนที่เข้าไปหา ไม่ว่าใครก็ตามหากมีโอกาสเดินไปกราบนมัสการ รับประกันได้ไม่มีผิดหวังครับ ปัจจุบันท่านมรภาพแล้วครับ
วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วัวธนู ควายธนู หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง




วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ตะกรุด หลวงพ่อทบ วัดชนแดน



ตะกรุด หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ตะกรุด หลวงพ่อสุด วัดกาหลง

26 ก.พ. 2524 " ตี๋ใหญ่ " หรือ กรประเสริฐ ช่างเขียน ได้จบชีวิตลงใกล้กลับวัดกาหลงสมุทรสงคราม ตี๋ใหญ่ถูกกระสุนปืนตำรวจนานาชนิดยิงเข้าใส่ขณะอยู่ในรถปิกอัพชื่อเสียงของ "ตี๋ใหญ่" ระบือไปทั่วเมืองว่ามีวิชาอาคมและหนังเหนียว เคยแหวกวง-ล้อมตำรวจนั้บครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งสำคัญคือการณ์ฝ่าวงล้อมที่บ้านพักภารโรง รร.เขมาภิรตาราม จ.นนทบุรี ตี๋ใหญ่ยิงตำรวจตายไป 1 นาย ก่อนจะหลบหนีไปใด้สำเร็จตำรวจตั้งด่านสกัดตรวจตราอย่างเต็มที่แต่ก็คว้าน้ำเหลว




วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ตะกรุด




วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ประวัติหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก จ.ประจวบ

หนึ่งในเกจิอาจารย์ที่สร้างตำนาน “ปลัดขิก” จนดังสะท้านประเทศก็คือ “หลวงพ่อยิด จนฺทสุวณฺโณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองจอก อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ วิทยาคมของท่านนั้นแก่กล้าขนาดที่ว่า สามารถเสกปลัดขิกบินรอบวัด ก่อนจะแจกจ่ายให้ญาติโยม นี่คือเรื่องจริงที่หลายๆ คนได้ประจักษ์กับสายตามาแล้ว หลวงพ่อเกิดในสกุล “สีดอกบวบ” เมื่อวันอังคารที่ 10 มิ.ย. 2467 ณ บ้านหัวหรวด ต.นาพันสาม อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 7 คน ของนายแก้ว และ นางพร้อย สมัยเด็กไปอยู่กับหลวงพ่อหวล (มีศักดิ์เป็นน้า) ที่วัดประดิษฐนาราม (วัดนาพรม) จนกระทั่งบวชเป็นเณรเมื่ออายุ 9 ขวบ และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ ภาษาขอม เลขยันต์ พร้อมกับเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง อายุ 14 ปีลาสิกขาออกมาช่วยครอบครัว ซึ่งย้ายไปประกอบอาชีพ ที่อ.กุยบุรี จนอายุ
20 ปีก็กลับมาอุปสมบทที่วัดนาพรม มีหลวงพ่ออินทร์ (เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรีขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหวล เป็นพระกรรมวาจารย์ พระอาจารย์พ่วง วัดสำมะโรง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า “จนฺทสุวณฺโณ” มีความหมายว่า “ผู้มีวรรณะดุจพระจันทร์” ต่อมาบิดาเสียชีวิต ท่านจึงลาสิกขาออกมาดูแลมารดา และได้มีครอบครัว อยู่กินกับนางธิติจนมีบุตรหนึ่งคน ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งในปี พ.ศ.2517 ณ วัดเกาะหลัก จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังจากนั้นได้มาจำพรรษาที่วัดทุ่งน้อย ต.เขาแดง อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาผู้มีจิตศรัทธาซึ่งเลื่อมใสในตัวท่านได้มอบที่ดิน 21 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ต.ดอนยายหนู อ.กุยบุรี ให้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ชื่อ “สำนักสงฆ์พุทธไตรรัตน์” เมื่อปี พ.ศ.2518 ก่อนจะขออนุญาตสร้างเป็นวัดเมื่อปี พ.ศ.2527 ตั้งชื่อว่า “วัดหนองจอก” ปี พ.ศ.2535 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงประทานพัดยศแก่ท่าน เป็น “พระครูนิยุตธรรมสุนทร” หลวงพ่อยิดนั้นได้ชื่อนักพัฒนาที่มีฝีมือรูป
หนึ่ง เห็นได้จากการสร้างสรรค์พัฒนาให้วัดหนองจอก จนเป็นวัดที่สมบูรณ์มีถาวรวัตถุทางศาสนาครบ ยากที่จะหาวัดใดๆ สร้างได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ ท่านยังพัฒนาจิตใจและการศึกษาของเด็กและเยาวชนอย่างเต็มที่ โดยสนับสนุนด้านทุนการศึกษา,ทุนอาหารกลางวันแก่โรงเรียนหลายแห่งใน จ.ประจวบฯ รวมทั้งร่วมสร้างสาธารณประโยชน์แก่สถานที่ราชการและหน่วยราชการมากมาย สมัยยังชีวิต ท่านมีกิจนิมนต์ในการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังทั่วประเทศจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ในวันเสาร์ 5 ท่านปลุกเสกวัดแรกที่ จ.นครสวรรค์ วัดสุดท้ายที่วัดหนองจอก แต่ละวัดจะปลุกเสกวัดละ 30 นาที รวมทั้งหมดวันเดียวปลุกเสก 9 วัด
การรับแขกของหลวงพ่อยิดแต่ละวันนั้น บางวันแทบไม่ได้ลุกไปห้องน้ำเลย นอกจากฉันอาหารเพลเท่านั้น แม้แต่ยามอาพาธ ก็ยังแสดงความอดทน ออกมาต้อนรับญาติโยมเหมือนไม่เป็นอะไรเลย ยิ่งเรื่องการเขียน การจารวัตถุมงคลด้วยแล้ว บางวันถึงขนาดไม่ได้ฉันข้าวก็มี เมื่อเขียน,จาร
เสร็จแล้ว ท่านจะเอานิ้วที่ซีดแนบเนื้อติดกระดูกให้ผู้อยู่ใกล้ชิดดู จนต้องช่วยกันบีบนวดให้เพราะสงสารท่าน พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ส่วนมากจะมีปัญหาเกี่ยวกับผู้ใกล้ชิด ลูกศิษย์ กลุ่มพุทธพาณิชย์ หาผลประโยชน์จากการสร้างวัตถุมงคลเพื่อหวังผลกำไรจำนวนมหาศาล เช่นเดียวกับหลวงพ่อยิดซึ่งมีหลายกลุ่ม แต่ท่านจะไม่ว่าอะไรใครทั้งสิ้น เมื่อมีผู้ถาม ท่านก็จะตอบว่า “ใครที่ประพฤติตนหาผลประโยชน์จากพระ บุคคลนั้นต่อไปจะยากจน เพราะตัวเองจะป่วย แล้วก็ใช้เงินจากการจำหน่ายพระมารักษาตัวจนหมดสิ้น และชีวิตก็จะอยู่ไม่มีความสุขภายในครอบครัว” และวาจา
ท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเสียด้วย เพราะมีหลายคนที่เป็นไปตามคำพูดนั้น เรื่องแปลกของหลวงพ่อยิดเรื่องหนึ่งก็คือ ท่านสรงน้ำปีละครั้ง ในเดือน 4 ในวันอาทิตย์แรกของข้างแรม สาเหตุก็เนื่องมาจาก ท่านได้รับปากกับอาจารย์ที่สอนวิชาอาคมให้สมัยที่ยังเป็นฆราวาส เมื่อเรียนจบแล้ว ท่านก็อาบน้ำ จนกระทั่งบวชเป็นพระก็สรงน้ำปีละครั้งตลอดมาจนมรณภาพ ลูกศิษย์และผู้เคารพศรัทธาจะเอาแปรงทองเหลืองขัดตัวท่าน ท่านจะยิ้มเพราะไม่เจ็บ และไม่ระคายผิวหนังแม้แต่น้อย กระทั่งปี พ.ศ.2535 เป็นต้นมา จึงงดใช้แปรงขัดเ
นื่องจากหมอขอร้อง เพราะแม้ผิวหนังท่านจะคงกระพันจริง แต่เนื้อและเส้นโลหิตไม่ได้คงกระพันด้วย อาจจะเป็นอันตรายได้ ท่านมักจะสอนศิษย์เสมอว่า การที่จะปลุกเสกวัตถุมงคลให้ขลังนั้นจะต้องมีสมาธิ และสัจจะ โดยเฉพาะสัจจะสำคัญมาก เพราะฉะนั้น วัตถุทุกชนิดเมื่อผ่านการปลุกเสกจากท่าน จึงเชื่อถือกันว่ามีความขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก ที่โด่งดังและรู้จักกันดีทั่วประเทศก็คือ






“ปลัดขิก” ซึ่งท่านปลุกเสกจนกระดุกกระดิกเคลื่อนไหวได้ เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น แม้แต่ผู้ที่มีความรู้เป็นถึงนักเรียนนอกอย่าง ม.ล.ปาณสาร หัสดินทร อดีตรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังนับถือ เพราะได้ประสบมากับตาตนเอง คุณวิเศษในปลัดขิกที่ผ่านการปลุกเสกจากท่าน ใช้ดีในทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ค้าขาย เรื่องแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ตะขาบ แตน ต่อ แมงป่อง เอาไปวนบริเวณที่กัดจะหายเป็นปลิดทิ้งทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อความศรัทธาเป็นที่ตั้ง
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
หมู หลวงพ่อเส็ง วัดบางนา

ครุฑ หลวงปู่เส็ง วัดบางนา จ.ปทุมธานี



กาละพสนะ ปิปปะสะอุ อุตมังลสหิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะปะกะสะให้ชื่อเสียงของหลวงปู่เส็ง ก้าวขึ้นสู่ระดับเกจิชั้นแนวหน้าขึ้นมาทันที
วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
การพิจารณาเสือ ของหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย






ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย

หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยนั้นท่านเป็นคณาจารย์ ยุคเก่าสมัยโบราณ ถ้าผมจำไม่ผิดหลวงปู่สี วัดเข้าถ้ำบุญนาค เคยกล่าวถึงท่านไปเมื่อตอน มีคนถามท่านว่ารู้จักหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคไหม? ท่านตอบว่ารู้จักแต่หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย และกล่าวว่า "หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย นั่งเรือไม่ต้องแจวเรือ เรือแล่นได้เอง" หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย นั้นท่านมีชื่อเสียง ในเรื่องการสร้างตะกรุด ผ้ายันต์ต่างๆ รวมทั้งเครื่องรางประเภทอื่นๆมากหลายอย่าง ซึ่งปัจจุบันหาชมได้ยากมาก ใครมีต่างหวงแหนกันทุกคน การหาของแท้ๆ และทันยุคนั้น หาได้ยากเต็มทีครับ เพราะเครื่องรางที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ก็ขาด
การจดบันทึกไว้ ทำให้มีผู้รู้จริงยาก และเครื่องรางของท่าน บางครั้งผู้ที่ได้ไว้ในครอบครองก็ไม่ทราบว่าเป้นของคณาจารย์ท่านใด บางครั้งจะเป็นของหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ลูกศิษย์ ซึ่งขลังเหมือนกัน คนถูกยิงตกเรือไม่เข้ามาแล้วเหมือนกันครับ


วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วิธีการทำปลัดขิกและคาถาโบราณ

วิธีการทำปลัดขิกและคาถาโบราณ ดังนี้
* สิทธิการิยะ ถ้าจะทำปลัดขิกท่านให้เอาไม้แก่นคูณ หรือไม้มงคลที่มีพุทธคุณด้านแคล้วคลาดและมีเมตตามหานิยม นำมาแกะเป็นตัวปลัดขิกตามที่มีความชำนาญ แล้วลงอักระที่ตัวปลัดขิกดังนี้
อุ กัน หะ เน หะ ฯ
ให้ลงตัว อุ ที่หน้าประธาน
และลง กัน หะ เน หะ ที่ลำตัวของปลัดขิกข้างละสองตัว แล้วจึงให้นำเอาปลัดขิกไปปลุกเสกลงอาคมคาถาหัวใจโจร.
“ กันหะ เนหะ ”หัวใจโจรนี้ใช้ได้สารพัดทาง ทั้งคงกระพัน กันภัย เสกเหล้ากินก็ได้ เสกว่านกินก็ดี อยู่คงนักแล

* โอมน้ำสามจอก กูจะกรอกขึ้นบนหลังคา
* โอมมะถอกขาว มะถอกเขียว
ถอกเยี่ยวรดผ้า ถอกฆ่าคนตาย
ถอกขายคนกิน ถอกอินทนิล
ถอกนอกฟ้าป่าหิมพาน ถอกกินบ้านกินเมือง
* โอมอีจอกจักรรัตน์ ยกกระบัตร์เมืองนนท์
ขุนพลลพบุรี ถือด้ายแหกหี ตีกรรเชียงถอกแตด
หนามขี้เร็ดเกี่ยวช้าง คนหีกว้างสะบักเดียก
หีสะบัดถอก นอนหงายแตดแห้ง นอนตะแคงแตดชุ่ม
* โอมลุ่มลุ่มทำเนาเอาเถิด
* โอมน้ำสามจอกรดถอกไม่เน่า ขี้เปาน้ำมะเนียก ขี้เปียกน้ำมะนาว แหกๆ แยกๆ พลุบๆ ผลั๊ว
* มนต์นี้ใช้เสกปลัดขิก ผูกติดเอวไว้ใช้สารพัด ทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ ผูกคาดเอวเด็กกันสารพัดตาลซาง กันภูติผี และแม่ซื้อดีนักแล ฯ

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ปลัดขิก



สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)